ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ จากภาพธรรมที่หลวงตาสอนส่งมาในไลน์ (เอามาเฉพาะบางภาพ) ลูกจะขอถามถึงการน้อมพิจารณาเจ้าค่ะ ว่าให้เอาความรู้ความเข้าใจในข้อความต่างๆ ที่อ่านในภาพธรรมะนั้นมา น้อมให้ลงแก่ใจทุกขณะจิตปัจจุบันหรือเปล่าเจ้าคะ (เดิมลูกเคยพยายามน้อมอสุภะเจ้าค่ะ แต่ก็ไม่ลงแก่ใจเจ้าค่ะ คิดว่าน่าจะไม่ใช่เป็นทางนี้ เพราะได้กราบหลวงตาและฟังธรรมะของหลวงตา) จึงคิดมาน้อมมาทางดูจิต กราบขอความเมตตาจากหลวงตาด้วยเจ้าค่ะ ชี้แนะแนวทางที่จะปฏิบัติของลูกด้วยเจ้าค่ะ ลูกยังหาทางเดินไม่ถูก แล้วลูกจะเดินอย่างไร ยิ่งรู้ว่าหลวงตาเร่งรีบสอนธรรมะ พยายามให้จนหมดใจ ลูกขอกราบขอบพระคุณเจ้าค่ะในความเมตตาที่ไม่มีอะไรจะเปรียบเทียบได้เจ้าค่ะ
กราบ กราบ กราบ
หลวงตา : ขันธ์ห้า รวมทั้ง “จิตตสังขาร” ที่คิดตรึกตรอง ดิ้นรนค้นหาหนทาง สงสัย สงสัย สงสัย ??? .... นี้ เป็นสังขาร ที่ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ลอยอยู่เหนือใจหรือธาตุรู้ ที่เป็นความว่าง เหมือนดังลูกโลกที่ลอยอยู่ในอวกาศ
ดังนั้น “ใจ” จึงเป็นความว่างเปล่าที่ไม่มีขอบเขต ที่อยู่ใต้สังขาร หรือ เป็นที่เกิดดับของสังขาร อย่าไปหลงผิดเอา “จิตตสังขาร” ที่กำลังคิดปรุงแต่ง ดิ้นรน ค้นหา พยายาม สงสัย ??? ...ในทุกปัจจุบันขณะมาเป็นใจที่ว่างเปล่าอันไม่มีขอบเขต ที่อยู่ใต้สังขาร หรือเป็นที่เกิดดับของสังขาร
ใจเขาเป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติ หากสิ้นหลง คือ สิ้นอวิชชาแล้ว ใจหรือธาตุรู้เขาย่อมรู้จักใจของเจ้าของ ว่าเป็นเหมือนความว่างของอวกาศ เพราะไม่มีตัวตน มีแต่ชื่อ ไม่มีแม้แต่ตัวจิตหรือตัวใจ ไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด เป็นวิสังขาร เป็นอสังขตธาตุ หรือ อสังขตธรรม จึงไม่มีปรากฏการเกิดดับ
เมื่อใจรู้จักใจของเจ้าของ ว่าเป็นความว่างเปล่าไร้ขอบเขต มันเป็นเหมือนความว่างเปล่าของธรรมชาติหรือจักรวาล ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่มีแม้แต่ตัวจิตหรือตัวใจ เป็นธรรมชาติที่ไม่สังขาร คือ ไม่มีอะไรปรากฏการเกิดดับเลย ดังนั้น ใจจึงไม่หลงยึดถือเอาสังขารซึ่งเป็นสิ่งเกิดดับ ลอยตัวอยู่เหนือมันขึ้นไปมาเป็นมันเลย คงปล่อยให้สังขารเขาคิดปรุงแต่งเกิดดับอย่างเก้อ ๆ ในทุกปัจจุบันขณะ โดยไร้ผู้หลงยึดถือ
เปรียบเทียบให้เห็นเป็นรูปธรรม
ขันธ์ห้ารวมทั้งจิตตสังขาร คือ ความคิด ปรุงแต่งต่างๆ ในทุกปัจจุบันขณะนี้ เป็นเหมือนลูกโลก ส่วนใจเปรียบเหมือนอวกาศที่ว่างเปล่าไร้ขอบเขต ดังนั้น โลกจึงไม่ใช่อวกาศ โลกเป็นเพียงสิ่งเล็ก ๆ ดุจปรมาณูที่ลอยอยู่ในอวกาศเท่านั้น เช่นเดียวกัน “จิตตสังขาร” ก็เป็นเพียงปรมาณูที่เกิดดับอยู่เหนือใจที่ว่างเปล่าไร้ขอบเขตดุจอวกาศ
ดังนั้น สังขารจึงไม่ใช่ใจ หรือ ใจไม่ใช่สังขาร สังขาร เขาก็สังขารปรุงแต่งเกิดดับของเขาไป ไม่ว่าจะสุข ทุกข์ ผ่องใส เศร้าหมอง ไม่ว่าจะคิดปรุงแต่งหรือมีอาการหรืออารมณ์อย่างใด ๆ ส่วนใจก็คงว่างเปล่าไร้ขอบเขต ไม่มีตัวจิตหรือตัวใจของเขาไป เพราะ “มันเป็นธรรมชาติคนละส่วนกัน”
อยู่กับ “รู้” ความจริงอย่างนี้ ไม่หลงยึดถือเอาขันธ์ห้า รวมทั้งจิตตสังขารมาเป็นใจอีกเลย ดังนั้น ไม่ว่าขันธ์ห้าจะเป็นอย่างไร “ใจ ก็คงเป็น ใจ” ที่เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ หรือ อสังขตธรรม ที่เป็นความเปล่าไร้ขอบเขต เป็นมหาสุญญตา หรือ อวกาศแห่งจิตเดิมแท้ ตลอดไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย ธาตุขันธ์แตกดับ
ส่วนใจหรือจิตเดิมแท้ หรือ วิญญาณที่สิ้นอวิชชาแล้ว ก็ดับไปเหมือนเปลวไฟที่สิ้นเชื้อ รวมเป็นหนึ่งเดียวกับความว่างของจักรวาลเดิม
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2561