ผู้ถาม : ประมาณ 3 ปีก่อน หนูพิจารณาดูรูปไม่เที่ยงค่ะ (มีครูบาอาจารย์แนะนำค่ะ) ดูว่ารูปนี้ไม่เที่ยงอย่างไร อาการความไม่เที่ยงมีการเปลี่ยนแปลง เดินทาง ไม่อยู่คงที่แล้วก็เสื่อมไปสิ้นไปค่ะ ดูทุกรูปแล้วก็น้อมมาที่ตัวค่ะว่าร่างกายเราก็ต้องไม่เที่ยงเหมือนรูปนั้น จนมาวันนึงค่ะ พิจารณาดูฟองน้ำ (ต่อมน้ำ) ดูว่าก่อนที่จะมีฟองน้ำมันก็ไม่มี ฟองน้ำเกิดขึ้นได้เพราะมีเหตุและปัจจัยคือการกระทบกันของของ 2 สิ่งจึงเกิดมีฟองน้ำขึ้นมา และเมื่อหมดเหตุและปัจจัยฟองน้ำก็แตกดับหายไปไปสู่ความไม่มี จากนั้นก็น้อมเข้ามาดูว่าร่างกายนี้เกิดได้อย่างไร เกิดจากสเปิร์มของพ่อมาผสมกับไข่สุกของแม่ แล้วก็แตกตัวกิ่งก้านสาขาโตขึ้นมา ด้วยอาหาร น้ำ ลม ไฟ แล้วร่างกายนี้ก็เดินทางไปเรื่อย ๆๆ จนมันแก่ เจ็บแล้วก็ตาย เอาไปเผาก็กลับกลายเป็นธาตุ ไหนหละตัวเรา พอตรงนี้มันตกใจค่ะมันรู้ความจริงแล้วว่ามันไม่มีเราตั้งแต่แรกเลย ร่างกายนี้ไม่ใช่เรา มันก็ร้องไห้ออกมาอย่างหนักเลยค่ะ แล้วก็พูดว่าตัวเราไม่มี ๆๆ แล้วหลังจากนั้นหนูก็ดูความไม่เที่ยงของขันธ์ 5 ค่ะ (นิสัยไม่ดีของหนูคือ พอครูบาอาจารย์ให้ตัวใหม่มาก็จะมาศึกษาดูและพิจารณาค่ะ ตัวเก่าก็จะทิ้งค่ะ เหมือนได้ของเล่นใหม่ก็จะไม่สนใจของเล่นอันเก่า)
ทีนี้ก็มาดูเรื่องขันธ์ 5 ก็เห็นว่ามันเกิดอย่างไร และทำงานร่วมกับตัวไหน และดับไปเพราะอะไรค่ะ เช่น ตากระทบรูปเกิดจักขุวิญญาณ 3 อย่างนี้เรียกผัสสะ ผัสสะเป็นปัจจัยให้เกิดเวทนา สัญญาและสังขารค่ะ และดับไปเพราะมันไม่เที่ยง ก็ดูมาอย่างนี้เรื่อย ๆ แต่ยังไม่ลงใจค่ะ จนมีคนแนะนำให้ลองเปิดใจมาฟังหลวงตาเมื่อปลายเดือนที่แล้วค่ะ
ฟังตอนแรกหนูก็งงนะคะ (เพราะตอนนั้นในขันธ์ 5 หนูเข้าใจทุกขันธ์ยกเว้นสังขารที่เข้าใจแต่ไม่เข้าใจ) ไม่เคยได้ยินผู้รู้ตัวจริง ตัวปลอม (นึกว่ามีแต่ผู้รู้คือวิญญาณอย่างเดียว) วิสังขารหนูก็ไม่เคยได้ยินค่ะ ก็เลยทิ้งทั้งหมดที่เคยทำมา แล้วก็เปิดใจฟัง ศึกษา ตั้งแต่ลืมตาจนเข้านอนเลยค่ะ แม้แต่เข้าห้องนำ้หนูก็เอาเข้าไปฟังค่ะเพราะอยาก (ยังมีอยาก) จะเข้าใจในสิ่งที่หลวงตาสอน ตอนนี้หนูเข้าใจแล้วค่ะว่าหน้าตาของสังขารเป็นยังไง คือทุก ๆๆ สิ่งที่มีความเคลื่อนไหวแม้จะนิดนึง น้อยหนึ่ง แม้ปรมาณูเดียวก็ใช่สังขารทั้งหมด และก็เห็นสังขารเกิดอยู่บนวิสังขารค่ะ เมื่อก่อนมันไม่มี แล้วก็มีขึ้นมา เมื่อหมดเหตุและปัจจัยมันก็ดับไปสู่ความไม่มี (เหมือนฟองน้ำที่เคยพิจารณาเลยค่ะ) เหมือนเดิมค่ะ
ตอนนี้ก็เพียรอย่างที่หลวงตาสอนค่ะ เฝ้าดูอยู่ที่ประตูใจ เมื่อมีผัสสะ (เมื่อก่อนไปดูที่อายตนะภายนอกค่ะ ไปดูรูปดับ เสียงดับ ฯลฯ ) มาดูว่าเกิดอะไรขึ้นที่ใจ เห็นเลยค่ะมันทำงานร่วมกันแบบแป๊บ ๆๆ เร็วมากเลย พอรู้ปุ๊บ มันส่งต่อเวทนา สัญญา สังขารเลยค่ะ ก็เห็นกระบวนการ และก็รู้ว่าเป็นสังขารแล้วก็ปล่อยมันไปค่ะ (ถึงไม่ปล่อยมันก็ดับเอง) ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ก็รู้แล้วก็ปล่อยค่ะ ไม่เข้าไปเป็นอะไร ๆ กับอะไร และก็ไม่อาลัยอาวรณ์ เพราะมันไม่มีอะไรอยู่ในอะไรค่ะ ไม่มีแม้แต่ใครไปอะไรอาลัย มีแต่ธรรมชาติ (สังขารและวิสังขาร)
กราบพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ และกราบขอบพระคุณครูบาอาจารย์และองค์หลวงตาที่อบรมสั่งสอนจนมีทุกวันนี้ค่ะ ถ้ามีอะไรผิดพลาด ขอเมตตาองค์หลวงตาโปรดชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ ไม่เสียดายชาติเกิดที่ได้มาพบมาได้ยิน ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้า ที่ถ่ายทอดจากหลวงตาได้ละเอียดลออมากเจ้าค่ะ ไม่เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน ขอบคุณบุญกุศลที่พาให้มาพบเจ้าค่ะ บุญคุณครั้งนี้หนูไม่มีสิ่งใดจะทดแทนนอกจากเพียรปฏิบัติให้สิ้นทุกข์ สิ้นยึด และยังประโยชน์ตนและประโยชน์ผู้อื่นให้ถึงพร้อมเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
เพียรรู้เห็นเข้าใจละเอียดเข้าไป ละเอียดเข้าไป … ๆๆๆๆๆๆๆ ....
แต่ก็ปล่อยวางทั้งหมดตลอดเวลา ไม่เอาอะไรเลย ไม่ยึดถืออะไรเลย ไม่ติด ไม่ยึด ไม่หวัง ไม่ปรารถนาจะได้ จะเป็นอะไรในการดู รู้ เห็น เข้าใจ
มีแต่การรู้แจ้ง รู้สัจธรรมความจริงในอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
แต่ก็ไม่ติดยึดว่าเราเป็นผู้รู้แจ้ง
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2561