ผู้ถาม : หลวงตาเจ้าคะ เมื่อวานหลังจากที่วางความโกรธได้หมด มันเห็นความจริงของ กิเลสและความสิ้นกิเลสว่าที่แท้มันอยู่ด้วยกัน วิสังขารเหมือนน้ำไหลนิ่ง มันหลอมรวมกับทุกสิ่งที่เป็นสังขาร อยู่ในใบไม้ อยู่ในสัตว์ อยู่ในเสียงที่ตกกระทบ อยู่ในคน แม้แต่อยู่ในกิเลส มันมีความว่างที่ไม่มีอะไรอยู่รายรอบ วิสังขารกับสังขารมันอยู่ด้วยกัน อันนี้มันแจ้งแล้ว ถึงใจแล้ว ในส่วนที่เป็นของหยาบ คือ สิ่งภายนอก กายของเรา และกิเลสอย่างหยาบ จนถึงส่วนที่เป็นอารมณ์ คือ มันเข้าใจถึงใจว่า สิ่งเหล่านี้ ถูกห่อหุ้มด้วยความว่าง มันจึงไม่มีแก่นสารที่แท้ของการดำรงอยู่ เป็นเพียงธรรมชาติ และ ไม่มีผลกับใจอีกแล้ว ใจไม่สามารถเกาะหรือกักเก็บอารมณ์หยาบได้อีก ตามธรรมชาติที่มันเป็นของมันเอง
แต่กิเลสละเอียด ๆ จิตยังเห็นความจริงแค่แว๊บ ๆ บางครั้งหลงไปในมัน บางครั้งเข้าใจว่า จิตเราเป็นแบบนั้น จิตเราฟุ้งซ่าน จิตเราง่วงเบลอ จิตเรามีการกระทำเป็นสังขารอีกแล้ว มันยังมีความยึดถือ มีเป้าหมาย มีความพอใจไม่พอใจอยู่เจ้าค่ะ เพราะมันยังไม่เข้าใจความจริงของสิ่งอันละเอียดจนถึงใจแท้ ๆ มันเลยยังไม่ขาดสนิท เพียงแต่มาอยู่ในรูปของความคิดฟุ้งซ่านละเอียด ๆ แต่ไม่ได้มาอยู่ในรูปของอารมณ์ให้จับได้แล้ว มันก็แค่ศึกษาความจริงต่อไป เห็นวิสังขารที่อยู่คู่กับสังขารเรื่อยไป มันรู้ตัวมันเองว่าทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ จะนำไปสู่การยอมรับและปล่อยวางของมันเอง โดยที่ไม่ต้องเอาตัวเราไปทำอะไรเพิ่ม แค่รู้ปัจจุบันแบบที่มันเป็นแค่นั้นเจ้าค่ะ
ทีนี้ ส่วนที่ลูกจะรบกวนปรึกษาหลวงตา คือ ให้มันเดินหน้าต่อไปได้ใช่ไหมเจ้าคะ ลูกพิจารณาแล้วแต่อยากให้หลวงตายืนยันอีกที เดิมที่มีความกลัวอยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นต่อจากนี้ ตัวเราจะอยู่ในโลกไม่ได้ ต้องออกจากโลก แล้วเรายังไม่พร้อม ยังมีงานต้องทำ ออกตอนนี้ไม่ได้ จะให้เกิดผลในตอนที่ยังไม่พร้อมต้องกลับคืนโลกมีกิเลสแบบ full option ลูกไม่เอา ทุกข์ตาย
ตอนนี้ มันกลับเห็นว่า แท้จริงโลกกับธรรมคือสิ่งเดียวกัน เราเป็นธรรมท่ามกลางโลกได้ เราสิ้นความเกาะเกี่ยวในอารมณ์ทั้งหลาย ท่ามกลางสิ่งกระทบ ท่ามกลางผู้ที่มีอารมณ์ได้ เพราะชีวิตทางโลก ก็ไม่ได้มีภาระ ไม่ได้มีครอบครัว ที่ต้องใช้ function ของ "ความอินความคิด" "ความอินอารมณ์" เลย สิ่งที่ต้องใช้ คือความเมตตา ที่ออกจากใจที่เป็นธรรมแท้ เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่างหาก ดังนั้น อะไรมันจะสิ้น ก็ให้มันสิ้นไป ก็อยู่ไปแบบที่มันเป็น ไม่รู้ว่ามันพิจารณาถูกไหมเจ้าค่ะ
หลวงตา : ธรรมชาติทั้งภายนอก และภายในร่างกายจิตใจ เป็นธรรมชาติเหมือนกัน คือ สังขารหรือขันธ์ห้าปรุงแต่งเกิดดับอยู่ในวิสังขารที่ไม่มีปรากฏการณ์ปรุงแต่งเกิดดับ ไม่มีตัวตน
ไม่มีใครเป็นเจ้าของธรรมชาติของสังขารและวิสังขาร
“ใจ” คงเป็นธรรมชาติของวิสังขาร
ขันธ์ห้าก็คงเป็นธรรมชาติของสังขาร จนกว่าจะสิ้นอายุขัย ขันธ์ห้าจึงแตกดับ (ตาย)
ส่วน “ใจ” ก็รวมเข้ากับความว่างของจักรวาลเดิม
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 2561