ผู้ถาม : คล้ายหลวงตาจะยกตัวอย่างว่าเหมือนเห็นพระพุทธรูปอยู่ข้างหน้า แล้วขยายให้เล็กใหญ่ได้ และย้ายให้เคลื่อนที่ไปไว้ตรงไหนก็ได้ ไว้ข้างหน้าเราก็ได้ ไว้ข้างหลังก็ได้ (ประมาณนี้) ฟังแล้วเหมือนความรู้สึกตอนนี้ที่คล้ายจะเห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่อยู่ตรงหน้า แต่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไรต่อไป จึงได้แต่เห็นอยู่อย่างนั้น ความจริงไม่รู้มาก่อนว่าวันนี้เป็นวันพระ แต่เมื่อคืนได้ฟังธรรมจนหลับไป พอตื่นเช้านั่งนิ่ง ๆ แล้วรู้สึกสงบ และได้ยินเสียงเพลงที่วัดคิดว่าอาจเป็นวันพระ จึงเปลี่ยนไปนั่งในห้องพระแทน ตั้งใจว่านั่งเสร็จจะอธิษฐานขอขมาและน้อมนำบารมีพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ เข้าสู่ใจ พอนั่งสงบไปเรื่อย ๆ เหมือนทุกลมหายใจที่เข้าออกยาวมาก เหมือนไม่มีร่างกายมีแต่ลมที่พองขึ้นและยุบลงเท่านั้น จึงคิดว่าจุดที่เป็นอานาปานสติคือตรงนี้นี่เอง เมื่อเห็นร่างกายพองยุบไปสักพักหนึ่ง ใจก็นึกถึงคำอธิบายปฏิภาคนิมิตที่เป็นพระพุทธรูปเล็กได้ใหญ่ได้และนำไปไว้ที่ไหนก็ได้ เหมือนเห็นพระพุทธรูปอยู่ในตัว แล้วเข้าใจว่าทำให้เล็กใหญ่ได้ด้วยอานาปานสตินี่เอง โดยจะให้ใหญ่หรือเล็กแค่ไหนก็ได้ ภาวะนั้นทำให้นึกถึงคำว่า “จิต คือ พุทธะ” เหมือนจะเข้าใจคำสอนนี้เลยค่ะว่าเป็นอย่างไร จากที่คิดว่าได้อยู่ใกล้พระพุทธเจ้า ความรู้ตรงนี้ก็เปลี่ยนไป รู้สึกเหมือนใจมีความแข็งแรงมากขึ้นจึงเห็นภาพนี้ได้ แล้วเมื่ออธิษฐานขอขมาและขอบารมีเป็นที่พึ่งตามที่ตั้งใจไว้ตอนแรก ก็ยิ่งมั่นใจว่าความเห็นและสิ่งที่ทำไปนั้นถูกต้องแล้ว เมื่อใจเห็นพุทธะเต็มองค์ก็ควรจะอาราธนาบารมีท่านมาคุ้มครองด้วย ถึงตรงนี้ทำให้นึกถึงคำพูดหลวงตาที่เคยบอกว่า “ไม่สอน ถ้ามีบุญบารมีก็เป็นเอง” ขอหลวงตาโปรดเมตตาชี้แนะด้วยค่ะ
หลวงตา : ให้ปล่อยวางผู้ดู ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจว่าอะไรเป็นอะไร ผู้คิดนึกตรึกตรอง ผู้แสดงแอคชั่นต่าง ๆในปัจจุบันขณะตลอดเวลา เพราะเรายึดถืออาการหรือพฤติแห่งจิตเหล่านั้นเป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา อาการต่าง ๆ เหล่านั้น รวมทั้งอุคหนิมิต ปฏิภาคนิมิต และอารมณ์ที่ถูกรู้ทั้งหมดล้วนเป็นสังขารปรุงแต่ง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พ้นสังขารไม่มีอะไรเลย ไม่มีเรา ตัวเรา หรือของเรา ไม่ปรากฏอะไรเลย เป็นความว่างเปล่าจากตัวตน จึงไม่มีตัวตนตน ไม่มีตัวเรา ไม่มีผู้ยึดถือในนั้น จึงสิ้นกิเลส พ้นทุกข์ (นิพพาน) หรือ เป็นความดับสนิทแห่งกิเลส หรือ ดับสนิทอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ .. และความทุกข์ทั้งมวล ชั่วนิรันดร์ (นิจฉาโต ปรินิพพุโต ติ)
ผู้ถาม : ขอกราบขอบพระคุณหลวงตาที่เมตตาชี้แนะและรู้สึกโชคดีที่มีพ่อแม่ครูอาจารย์ให้ถามได้ค่ะ หนูอาจจะดื้อและไม่กลัวว่าจะผิดหรือถูกด้วยจึงกล้าถาม ขอนอบน้อมนำคำสั่งสอนของหลวงตาทุกสิ่งอย่างไปพินิจพิจารณาอย่างละเอียดรอบคอบให้ลงแก่ใจค่ะ คำตอบของหลวงตาเพียงแค่นี้ก็ทำให้เข้าใจอะไรได้อีกมากมายค่ะ เข้าใจแล้วว่าไม่มีอะไรสำคัญมากไปกว่าการเห็นจิตของตัวเอง และจิตนี้มีความเฉลียวฉลาดรอบรู้ได้มากมาย แต่เมื่อตัวตนของเราไม่มี ไม่มีเรา ตัวเราหรือตัวตนของเรา … มีแต่การปล่อยวางและไม่ยึดถืออะไรเลยหรือสิ้นการยึดถือ สุดท้ายก็ต้องปล่อยวางทั้งกายและจิต และนี่คือคำว่า ถึงจิตจะดีอย่างไรก็ยึดไม่ได้ ไม่ยึดโลก ไม่ยึดธรรม ไม่ยึดความรู้ ไม่ยึดครูบาอาจารย์ ไม่ยึดจิตที่เป็นพุทธะ ไม่ยึดแม้แต่พระพุทธเจ้า ทุกอย่างล้วนว่างเปล่า และความว่างเปล่าก็ไม่ยึด
หลวงตา : สาธุ สาธุ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2561