ผู้ถาม : นมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ หนูไม่มีอะไรจะถามและสงสัยเกี่ยวกับธรรมะที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้และหลวงตานำมาถ่ายทอดต่อ แต่หนูสงสัยที่หลวงตาว่าเคยปฏิบัติผิดตัวเป็นหินเกือบตาย
แล้วแก้อย่างไรคะ เพราะสภาวธรรมแรก ๆ ที่หนูเป็น คือหนูเป็นหินแล้วแผ่ขยายออกไปไม่มีขอบเขต หนูไปกราบหลวงตาครั้งแรก หลวงตาว่าข้างในหนูแข็งมาก หมดพลังไปเยอะกว่าจะหักลงได้
หลังจากนั้นหนูก็เป็นแฟนพันธ์ุแท้ติดตามฟังธรรมมาตลอดและเข้าใจธรรมมากขึ้น รู้สึกมันลงแก่ใจ เมื่อหนูมีโอกาสกราบขอบพระคุณหลวงตาที่ช่วยหยิบภาชนะที่คว่ำให้หงายขึ้นหลวงตาก็ทักว่าหนูไป
เป็นธรรมตั้งแต่เมื่อไหร่ ให้เล่าเส้นทางให้ฟัง ในระหว่างเล่า หนูเข้าใจเลยว่าการส่งธรรมจากใจสู่ใจเป็นอย่างไร การระเบิดอวิชชาจากข้างในจนมันไม่มีอะไรเหลือเลย หลังจากนั้นการฟังธรรมมันลงแก่
ใจ เข้าใจเลยว่าทำไมหลวงตาให้ทำประโยชน์ตนก่อนแล้วค่อยทำประโยชน์ท่าน สภาวธรรมท้าย ๆ ที่เห็นคือโลกว่าง ๆ มันหมุนทวนเข็มนาฬิกา แล้วมันมีโลกว่าง ๆ อีกใบมันหมุนตามเข็มนาฬิกาซ้อน
จาง ๆ อยู่ข้างล่างเจ้าค่ะ ถึงเวลากลับบ้านเดิมแท้เสียที หลังจากออกมาท่องเที่ยวเป็นอนันตกาล ขอกราบขอพระคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ครูอาจารย์และองค์หลวงตาที่ถ่ายทอดธรรมแท้
จากใจสู่ใจมาจนถึงยุคปัจจุบันเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ ทุกอย่าง แก้ที่
ถึง “ใจ” ไร้ตัวตน
เป็น “ใจ” ไร้ตัวตน
“ธาตุรู้” เป็น “ใจ”
หรือ
“ใจ” เป็น “ธาตุรู้”
หรือ
เป็นสิ่งเดียวกัน
เป็นความไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่การเกิด ไม่มีการดับ ไม่อาจถูกทำลายได้ เพราะไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง หรือไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด ไม่อาจคิด ปรุงแต่ง แสดงอาการใดได้
ไม่อาจกระเพื่อม หรือเคลือนไหวได้ เป็น “วิสังขาร” หรือ
“อสังขตธาตุ” ไม่มีอะไรปรากฏให้รับรู้ทางอายตนะภายใน คือ ประตูตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ได้เลย
หรือ
มีแต่ความรู้
แต่ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด
ไม่มีการเกิดขึ้น และไม่มีการดับไป
ไม่มีการเริ่มต้น และไม่มีการสิ้นสุด จึงไม่ได้เริ่มต้นที่การเกิด และสิ้นสุดที่การตาย
ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการตั้งอยู่หรือหยุดอยู่
เป็นความไม่มีอะไรปรากฏ
ไม่ใช่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ
ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ ไม่ใช่วิญญานัญจายตนะ ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ
หรือ
ทุกอย่างในจักรวาล ที่นอกจาก “ธาตุรู้” หรือ “ใจ” แล้ว ไม่มีอะไรเลยที่ไม่เป็นสังขาร
“สังขาร” ทั้งหมด รวมทั้งขันธ์ห้า คือ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือ ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ ไม่ใช่เรา ตัวเรา หรือตัวตนของเรา
หรือมีแต่สังขารเท่านั้นที่เกิดขึ้น มีแต่ สังขารเท่านั้นที่ตั้งอยู่ มีแต่สังขารเท่านั้นที่ดับไป
ส่วน “ใจ” หรือ “ธาตุรู้” ไม่เป็นสังขาร ไม่มีอะไรปรากฏเลย ........... จึงพ้นจากทุกข์
ขณะจิตปัจจุบัน หรือขณะใดขณะหนึ่ง ที่เกิดปัญญาตรัสรู้ หรือรู้แจ้งถึงใจไม่กลับคืนอีก ว่า “ใจ” เป็น “ธาตุรู้” หรือเป็น “ธรรมธาตุ” ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฏเลย ไม่มีการเกิด การดับ ไม่มีตัว
ตน รูปร่าง หรือรูปพรรณสัณฐานใด ไม่มีความมืด ไม่มีความสว่าง ไม่อาจมีความรู้สึกสุข ทุกข์ ผ่องใส หรือ เศร้าหมอง เป็นเหมือนเป็นความว่างในธรรมชาติ ในอวกาศหรือจักรวาล
ดังนั้นที่ว่าอยู่กับธรรม กินกับธรรม นอนกับธรรม ไปไหนก็ไปกับธรรม ตายไปกับธรรม หรืออยู่กับ “รู้” หรือ อยู่กับ “ผู้รู้” หรืออยู่กับ “ฮู่ซือซือ (ภาษาท้องถิ่นภาคอีสาน)” หรือ สักแต่ว่ารู้ หรือ อยู่กับรู้
ด้วยใจเป็นกลางหรือเป็นอุเบกขา ก็คือ อยู่กับใจ หรือเป็นใจ ที่เป็น “ธรรมธาตุ” นี้ตลอดกาลอย่างเป็นอมตะนิรันดร์
ที่ว่า “ใจเป็นอุเบกขา” คือ ใจที่เป็นธรรมธาตุ หรือ ธรรมชาติที่ไม่มีตัวตน ไม่อาจมีความรู้สึก นึก คิด ตรึกตรอง ปรุงแต่ง หรือมีอารมณ์ใดได้
ดังนั้นจึงไม่ใช่ ใจที่มีความรู้สึกนิ่งเฉยสงบว่าง ที่เป็น ธรรมารมณ์ ซึ่งเป็นสังขารอายตนะภายนอก ถูกรับรู้ได้ทางประตูใจ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2561