ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงตาเจ้าค่ะ พยายามเขียนส่งการบ้านหลวงตามาสักพักใหญ่ค่ะ แต่จะเขียนอย่างไงมันก็จบลงตรงเห็นตัวเราไปยึด ไปให้ค่า ให้ความหมายกับสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นของธรรมชาติ ซึ่งมันก็เป็นของมันอย่างนั้น มันคงดำเนินของมันไปตามเหตุปัจจัยของมัน แต่มีตัวเราไปยึด ไปให้ค่า รักชอบ เกลียดชัง อยู่เป็นระยะ ๆ
สิ่งที่ศิษย์ปฏิบัติ คือ น้อมจิตว่ามีตัวเราอยู่ตรงไหน เลยจากขันธ์มันไม่มีอะไร แล้วก็ทำจิตให้ตั้งมั่น อยู่นิ่ง ๆ “รู้เห็นทุกคิด โดยไม่เข้าไปยุ่งกับมัน” อาการที่ศิษย์เห็นตอนมีการเข้าไปยุ่งกับมัน คือ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ ชื่นชม เออออ เห็นด้วย คัดค้าน เมื่อเห็นก็แค่รู้ไม่ไปยุ่งอีก ตอนนี้ศิษย์ปฏิบัติเพียงเท่านี้เลยค่ะหลวงตา ศิษย์ขอความเมตตาหลวงตาช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
หลวงตา : ปล่อยวาง “ผู้รู้” เดี๋ยวนี้ ไม่ไปพยายามดู รู้ เห็น ละ ปล่อย วางอะไร ไม่กลัว ไม่กังวล ว่าถ้าปล่อยวางหมด เดี๋ยวจะหลง เดี๋ยวจะไม่พ้นทุกข์ บรรลุพระนิพพาน วางเลย วางหมดเลย ไม่กลัว ไม่กังวล มันจะเป็นอะไร หรือไม่เป็นอะไรก็ช่างมัน เพราะไม่มีตัวเราเป็น
อยู่กับรู้แก่ใจทุกปัจจุบันขณะ ว่าบัดนี้หรือทุกขณะจิตปัจจุบันนี้สิ้นหลงคิดปรุงแต่งดิ้นรนค้นหาพยายามจะกระทำอะไรเพื่อจะให้ได้ ให้ถึง ให้เป็นอะไร ไม่ยึดถืออะไร ไม่อยากหรือปรารถนาจะไปได้ ไปเอา ไปรู้ ไปเห็น ไปเป็นอะไร ก็สิ้นกังวล พ้นทุกข์ทันทีในทุกปัจจุบันขณะ
ที่บอกว่าวางหมด เดี๋ยวไม่รู้นั้น ไม่จริง เพราะไม่รู้อะไร แต่รู้อยู่อย่างเดียว คือ รู้ว่าบัดนี้เป็น “ใจ” ที่ไม่สังขาร ไม่ปรุงแต่งแล้ว ซึ่งเป็นธรรมแท้ เป็นธรรมธาตุ หรือ เป็นของจริง นิ่งเป็นใบ้ ของคิด ปรุงแต่งได้ เป็นของไม่จริง และรู้ว่าที่คิดหรือปรุงแต่งได้ทั้งหมด ไม่ใช่ “ใจ”
อยู่กับธรรม กินกับธรรม นอนกับธรรม ไปไหนก็ไปกับธรรมแท้ ที่ไม่เกิด ไม่ดับ ที่ไม่เคยเกิด ไม่เคยตาย
อย่าไปอยู่กับสังขาร คือ สิ่งหรืออาการที่เกิดดับ ซึ่งเป็นของตาย มิฉะนั้น จะต้องไปเกิดตายไม่จบสิ้น
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2561