หลวงตา : วิญญาณขันธ์มีหน้ารู้ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอย่างเดียว ไม่มีหน้าที่เข้าใจ ที่เข้าใจเพราะทำงานร่วมกับเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร อีกสามขันธ์ทุกปัจจุบันขณะ ผู้รู้ ที่เป็นวิญญาณขันธ์อย่างเดียว โดยไม่ทำงานร่วมกับเจตสิก (เวทนา สัญญา สังขาร) จะรู้เขาไม่ได้
เพราะธรรมชาติของวิญญาณขันธ์มีหน้าที่รู้เขา จึงไม่อาจถูกรู้ แต่เขาทำงานร่วมกับเจตสิก คือ เกิดพร้อมกันดับพร้อมกัน จึงเหมือนกับว่า ทั้งรู้ ทั้งถูกใจ ไม่ถูกใจ จำได้หมายรู้ว่าอะไรเป็นอะไร หรือทั้งรู้ ทั้งคิด ทั้งพอใจ ไม่พอใจ จึงสามารถปล่อยวางเหมายกเข่งได้ คือ วางผู้รู้ที่คิดปรุงแต่งพอใจ ไม่พอใจไปทั้งหมดทุกปัจจุบันขณะ เรียกว่าวางทั้งอารมณ์ที่ถูกรู้ (ธรรมารมณ์) และ วางผู้รู้ (วิญญาณขันธ์) ไปพร้อมกัน
ผู้ถาม : อ๋อครับ เข้าใจได้ เพราะทำงานร่วมกันทั้งหมด สติ ปัญญา ก็เกิด จาก การทำงานของเขาทั้งหมด แล้วก็กลับมาปล่อยวางตนเองใช่ไหมครับ
หลวงตา : ถูกต้องแล้ว ความเข้าใจตรงนี้สำคัญที่สุด ทำให้ปล่อยวางขันธ์ห้าได้ ก็เพราะรู้ เห็น เข้าใจตรงนี้ ว่า ที่แท้จริงแล้ว ผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ก็เป็นเพียงขันธ์ห้า ที่เป็นสังขารปรุงแต่งทั้งหมด จนถึงวิญญาณขันธ์ ที่ทำงานร่วมกับเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร ทุกปัจจุบันขณะ จึงตกอยู่ใต้กฎธรรมชาติ คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ตรงนี้แหละที่อยากให้ทุกคนเข้าใจ จึงจะรู้เห็นด้วยความปล่อยวาง ไม่ใช่ยึดถือขันธ์ห้า
ผู้ถาม : แต่คนจะเข้าใจยากมากเลยครับ เพราะมันเหมือนต้องถึงใจว่าไม่มีตัวเรา ถึงกลับมาเห็นได้ว่า สิ่งอื่น ๆ ทั้งหมดเป็นเพียงธรรมชาติที่ทำงานด้วยกันครับ คนทั่วไปเห็นทุกอย่างเป็นเราไปหมดครับ
หลวงตา : ดังนั้น จึงต้องถึง “ใจ” ที่เป็นธรรมธาตุ เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ
ที่ไม่มีตัวจิตตัวใจ
ไม่มีรูปพรรณสัณฐานใด
ไม่ใช่รูปนาม
ไม่ใช่ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุอากาศ
ไม่ใช่อากาสานัญจายตนะ
ไม่ใช่วิญญาณัญจายตนะ
ไม่ใช่อากิญจัญญายตนะ
ไม่ใช่เนวสัญญานาสัญญายตนะ
ไม่อาจคิดหรือปรุงแต่งได้
ไม่เป็นสังขาร
เป็น “วิสังขาร” ไม่เกิด ไม่ดับ
ไม่ไปข้างหน้า ไม่ถอยหลัง ทั้งไม่หยุดอยู่
ไม่ปรากฏอาการใด ๆ เลย
เป็นเหมือนความว่างของธรรมชาติหรืออวกาศหรือจักรวาล
จึงจะหลุดพ้นจากสังขารได้
ถ้ายังหลงอยู่ในสังขาร ก็ไม่อาจปล่อยวางขันธ์ห้าที่เป็นสังขารทั้งแท่งได้
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2561