ผู้ถาม : กราบเท้าในความเมตตาไม่มีประมาณของหลวงตาค่ะ ... การใช้ชีวิตทางโลก ที่ต้องพบเจอสิ่งต่าง ๆ หมุนเวียนไปไม่จบสิ้น เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวกังวล เดี๋ยวผ่อนคลาย เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย เดี๋ยวยึด เดี๋ยวปล่อยวาง บางครั้งได้เสียงพูดเสียงบ่นทั้งวัน มันก็ยิ่งเบื่อหน่ายค่ะหลวงตา ไม่เห็นความหมายอะไรที่จะต้องเกิด ... แต่ศิษย์ขาดสติ ขาดปัญญาจึงไม่เห็นว่า โดนสังขารหลอกอีกแล้ว “ไม่อยากเกิด เบื่อหน่าย” ก็เป็นอวิชชา มันยังมีตัวเราที่กลัวต้องเกิด กลัวลำบาก ไม่มั่นใจว่าจะจบได้ ยิ่งกลัวก็ยิ่งดิ้นรน อัดอั้น ... ก็เข้าล็อกเดิม “ดีรัก ชั่วชัง” อีกจนได้ ... ไม่สามารถมองเห็นว่ามันก็เป็นแค่สังขาร ไม่เห็นตัวเราที่เข้าไปยึด เพราะเรากลายเป็นผู้ยึดเสียเองเลย ... กราบเท้าหลวงตาที่เมตตาเตือนสติค่ะ เมื่อแจ้งขึ้น ทำให้เข้าใจได้ว่าสิ่งที่สะสมมามันละเอียดมากค่ะ รู้ไม่เท่าทันก็ยังต้องทุกข์อยู่รำ่ไปค่ะ
ช่วงที่เราเข้าไปเป็นผู้เป็นแล้วเราไม่รู้เท่าทัน (ทุกข์นั่นยังเป็นของเรา) การปฏิบัติตอนนั้นจะเหมือนเป็นเอาสังขารไปดับสังขารใช่ไหมคะหลวงตา มันจะเหมือนเราสุขขึ้นมาบ้าง แต่ลึก ๆ มันก็ยังอึดอัด คับแค้น แต่ “เรา” ก็จะคอยสอนตัว “เรา” ให้ปล่อยวาง ให้ทำนู่นทำนี่ คือยังมีตัวเรากระทำอยู่ดี
อาการนี้คือให้ทวนเข้าหาผู้รู้ ใช่ไหมคะหลวงตา คือให้เข้าหาตัวเรา เพื่อที่จะได้ปล่อยวางตัวเรา เมื่อปล่อยวางตัวเรามันก็จะปรากฏอาการสงบ ก็รับรู้ว่ามันสงบ ช่วงที่สงบก็จะเห็นปรากฏการณ์เกิดดับอย่างสงบโดยที่ไม่มีใครไปสนใจมัน ... สักพักมันก็ไม่สงบอีกแล้ว ก็ทวนเข้าหาผู้รู้อีกใช่ไหมคะหลวงตา แล้วก็วางไปเรื่อย ๆ
ในการทำความเพียร เช่น นั่งสมาธิ เดินจงกรม สวดมนต์ คือทำให้จิต หรือความคิดที่ฟุ้งซ่านสงบลง ... พอสงบลง ก็นั่งมองสิ่งที่เกิดดับอยู่เงียบ ๆ ไม่เข้าไปยุ่งกับมันใช่ไหมคะหลวงตา
หลวงตา : ปล่อยวางตัวเราผู้รู้ ผู้พูด ผู้พากษ์ ผู้อยาก ... ตลอดเวลา
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 12 สิงหาคม 2561