ผู้ถาม : กราบองค์หลวงตาเจ้าค่ะ ใจลูกมันเหมือนจะต้านทานความจริงนี้ไม่ไหวแล้วมันสะเทือนใจยิ่งนักตอนนี้ มันรู้สึกว่ากองทัพธรรมของพระพุทธองค์ ธรรมจักรนั้นกำลังตีโอบล้อมข้าศึกใกล้เข้ามาทุกทีแล้วเจ้าค่ะ ลูกรู้สึกแบบนี้
จริงๆ
*************
[๑๑๒๕] ข้าพระองค์มีปัญหาที่จะทูลถามจึงมาเฝ้าพระองค์ผู้ทรงมีปกติเห็นธรรมอันงามอย่างนี้บุคคลพิจารณาเห็นโลกอย่างไร มัจจุราชจึงไม่เห็น
[๑๑๒๖] (พระผู้มีพระภาคตรัสตอบดังนี้)
โมฆราช เธอจงพิจารณาเห็นโลกโดยความว่างเปล่า มีสติทุกเมื่อ พึงถอนอัตตานุทิฏฐิเสีย เป็นผู้ข้ามมัจจุราชเสียได้ ด้วยอาการอย่างนี้ บุคคลพิจารณาเห็นโลกอย่างนี้ มัจจุราชจึงไม่เห็น
โมฆราชมาณวกปัญหาที่ ๑๕
หลวงตา : “ใจ” มีแต่ชื่อ แต่ไม่มีตัวจิต ตัวใจ
แล้วจะมีตัวใจของลูกไปต้าน ไปค้านพระธรรม ที่ออกมาจากธรรมธาตุ หรือ ใจอันบริสุทธ์ของพระพุทธเจ้าได้อย่างไร
แม้ตัวจิตหรือตัวใจของพระพุทธเจ้าก็ไม่มีตัว
เมื่อจิตหรือใจ ไม่มีตัวตน และ ไม่อาจแสดงกริยาหรืออาการใดได้ เพราะเขาเป็น วิสังขาร หรือ อสังขตธาตุ
ดังนั้น จึงไม่อาจมีใจของลูก ไปแสดงกริยา หรือ อาการต้านทานพระธรรมที่ออกจากใจที่ว่างเปล่าจากตัวตนของพระพุทธเจ้า มายังใจที่ว่างเปล่าจากตัวตนของเรา
เป็นการถ่ายทอดพระธรรมที่ว่างเปล่าจากตัวตน
ออกจากใจที่ว่างเปล่าจากตัวตนของพระพุทธเจ้า
มายังใจที่ว่างเปล่าจากตัวตนของเราเท่านั้น
หรือ เป็นการส่งต่อพระธรรม จาก “จิตหนึ่ง” สู่ “จิตหนึ่ง” คือพุทธะ เท่านั้น
มันจึงเป็นความบริสุทธิ์หมดจดของธรรมชาติจริงๆ คือ
ทั้งพระธรรมก็ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความปรุงแต่ง
พระธรรมนั้น ก็ออกจากใจของพระพุทธเจ้าที่ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความปรุงแต่ง
ใจของผู้รับ ก็เป็นธรรมชาติที่ว่างเปล่าจากตัวตน ว่างเปล่าจากความปรุงแต่ง
จึงเป็นความว่างอย่างบริสุทธิ์เสียจริงๆ
สมดั่งที่ พระพุทธเจ้าตรัสกับโมฆราชว่า
“เธอจงพิจารณาเห็นโลกโดยความว่างเปล่า........พึงถอนอัตตานุทิฏฐิเสีย....”
คือ ถอนความเห็นผิด ว่า โลก คือ ขันธ์ห้า ทั้งร่างกาย และจิตใจ ว่ามีตัวตน เป็นตัวเป็นตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเราเสีย เธอจงพิจารณาให้เห็นว่าโลก คือ ขันธ์ห้า หรือ ร่างกาย และจิตใจ เป็นความว่างเปล่า จากตัวตน
ดังนั้น “ใจ” ของลูกจึงเป็นความว่างเปล่า ไม่มีตัวตนที่จะไปต้านพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าได้หรอก
ผู้ถาม : ถ้าเช่นนั้นสิ่งที่ปรากฏและต้านทานธรรมได้มีเพียงสังขารที่ต้องทิ้งไว้ในโลกนี้ใช่ไหมเจ้าคะองค์หลวงตา
ไม่ใช่ตัวเราไม่ใช่ตัวตนของเรา
ปล่อยเขาทิ้งคืนโลกไปเสียเท่านั้น
ไม่เหลืออะไรให้ยึดถือ ไม่มีอะไรให้นึกถึง ไม่มีอะไรที่ต้องห่วงใยกังวลอีกต่อไปใช่มั้ยเจ้าคะ เริ่มมาจากความไม่มีก็ดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีดังเดิม ใช่มั้ยเจ้าคะ
น้อมกราบแทบเท้าพระพุทธองค์
น้อมกราบแทบเท้าองค์หลวงตาเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ บัดนี้ จงเป็น
“ผู้รู้” ใจเป็นธรรมแท้ ที่สิ้นตัวตน สิ้นหลงปรุงแต่ง สิ้นหลงยึดมั่นถือมั่น
“ผู้ตื่น” จากหลับไหลมานาน (ตื่นจากความหลง คือ อวิชชา)
“ผู้เบิกบาน” ไม่หลงมีตัวตน ยึดถือสิ่งใดให้เป็นความทุกข์อีกต่อไป
เรียกว่า เป็น “พุทธะ พุทธะ พุทธะ”
ผู้ถาม : ลูกขอกล่าวคำนี้ออกจากใจของลูก
พุทธัง สรณัง คัจฉามิ
ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ
สังฆัง สรณัง คัจฉามิ
หลวงตา : สาธุ
ขอให้ท่านจงจำไว้ว่า ท่านได้เปล่งวาจาออกมาจากใจเป็นสัจจะบารมี อธิษฐานบารมีแล้วว่า
นับแต่นี้เป็นต้นไป ขอพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์
จงจำไว้ว่า ใจของข้าพระพุทธเจ้าได้ตายจากโลกแล้ว
เป็นผู้เกิดใหม่ เป็นลูกของพระพุทธเจ้าเป็นผู้บวช (บวชใจ) แล้ว
สาธุ สาธุ สาธุ
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 13 เมษายน 2561