ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ ขอโอกาสเข้ามาส่งการบ้าน
หลังจากที่ส่งการบ้านหลวงตาครั้งล่าสุดประมานเดือนกว่า จากนั้นโยมฟังธรรมทั้งคลับเฮ้าส์และยูทูปเรื่อยมามีความเข้าใจเรื่องนิพพานมากขึ้น
เริ่มแรกเข้าใจนิพพานผิด คิดว่านิพพาน เป็นบ้านเป็นเมือง เป็นสถานที่ที่ต้องไปให้ถึง
เมื่อมาพิจารณากายและฟังธรรมหลวงตาและอาจารย์ผู้ช่วยสอนจึงรู้ความจริงว่าตัวเราไม่เคยมีอยู่ตั้งแต่แรก มีแต่ธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุรู้ ธาตุอากาศ เข้าใจธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม และเข้าใจว่าขันธ์ 5 เป็นผลผลิตที่มามีทีหลังและต้องตาย ส่วนเรื่องธาตุรู้ และ ธาตุอากาศ ยังไม่ค่อยเข้าใจด้วยใจ
หลังจากที่ส่งการบ้านไปคราวก่อน หลวงตาเมตตาอธิบาย โยมฟังแล้วก็รู้ว่ายังเข้าใจนิพพานผิด
สิ่งที่เข้าใจผิดก็คือโยมเข้าใจว่าสภาวะว่าง ๆ ที่มันว่าง ๆ โปร่งโล่งเบาสบาย คิดว่าสภาวะนั้นคือนิพพาน
ต้องคอยรักษาให้มันว่างๆอยู่ตลอด จริง ๆ แล้วมันไม่ใช่ เข้าใจผิดว่าสภาวะว่างๆนั้นเรียกว่าใจ ใจคือว่าง
ว่างคือใจ อยู่กลางอกและมีวงจำกัดแคบ ๆ ว่างแคบๆอยู่กลางอก อาศัยฟังธรรมฟังแล้วฟังอีก บวกกับหลวงตาเมตตาอธิบายที่ส่งการบ้านไปครั้งก่อน ทำให้เข้าใจว่า ไอ้ว่าง ๆ โปร่งโล่งเบาสบาย มันคือเวทนาซึ่งเป็นสิ่งถูกรู้ไม่ใช่สภาวะนิพพาน
ทำความเข้าใจ เรื่องธาตุรู้ ธาตุอากาศ เปิดฟังหลายไฟล์เสียง ที่พูดถึงเรื่อง ธาตุรู้ ธาตุอากาศ
ยังไม่เข้าใจด้วยใจแต่ฟังไปก่อน ฟังอยู่หลายวัน ความอยากรู้ทำให้เกิดก้อนหนัก ๆ หน่วง ๆ ขึ้นในใจ มีแรงผลักดันอยู่ในใจ ครุ่นคิดเรื่องนี้และคิดถึงคำพูดหลวงตา ที่พูดว่าธาตุรู้ไปรวมกับธาตุอากาศที่เป็นความว่าง มันจึงเป็นความว่าง แต่อากาศธาตุมันเป็น ความว่างอย่างเดียว ธาตุรู้มันไปรวมกับอากาศธาตุ
ธาตุรู้มันจึงเป็นความว่าง และมีคุณสมบัติที่รู้ด้วยอากาศธาตุมันไปรู้ไม่ได้ แต่ธาตุรู้มันรู้ได้ และมันก็รู้ว่าตัวมันเองเป็นความว่าง และความว่างมีอยู่ในทุกที่ ธาตุรู้ก็มีอยู่ทุกที่ ธาตุรู้ไม่เกิดไม่ดับ
วันนึงขณะที่โยมอยู่ในห้องเปิดฟังธรรม เรื่องธาตุรู้ ธาตุอากาศ ฟังไปเรื่อย ๆ อยู่ ๆ มันเเว๊บขึ้นมาเหมือนกับว่าเห็นร่างกายนอนอยู่ในห้อง แล้วก็รู้ความว่างในห้อง เหมือนมันไปรู้ร่างกายที่นอนอยู่ในความว่างของห้อง จากนั้นความคิดเกิดขึ้นมาว่าในห้องว่าง แต่ถึงแม้ว่าในห้องจะว่าง แต่ไม่ว่างจากผู้อยู่ในห้อง
ตอนนั้นมันอ๋อขึ้นในใจถึงความว่างที่มีอยู่ทุกที่ เอ๊ะใจขึ้นมาว่าความว่างในห้องนี้เหมือนกับความว่างในใจ มันก็เหมือนกับใจที่ว่าง ว่างไม่มีขอบเขต แต่มีสิ่งเกิดดับในมัน ตอนนั้นในใจเกิดสว่างจ้าขึ้นมา เหมือนเปิดสวิตช์ไฟ ความสว่างเข้ามาแทนที่ก้อนหนัก ๆ ที่เกิดขึ้นในใจก่อนหน้านั้น
แล้วเกิดความเงียบทั้งภายใน ภายนอก มันเงียบมาก เงียบมากจนได้ยินเสียงนกร้อง เสียงนั้นเกิดขึ้นมาจากความไม่มี แล้วดับหายไปสู่ความไม่มีอีก เกิดอีกก็เหมือนเดิมอีก ได้ยินเสียงคนพูดอยู่ด้านนอก เสียงนั้นเกิดขึ้นมาจากความไม่มีแล้วดับหายไปสู่ความไม่มีอีก เกิดอีกก็เหมือนเดิมอีก เป็นขณะ ๆ เป็นอยู่เช่นนั้นไม่นานก่อนจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติ
วันนั้นเป็นวันที่เข้าใจธรรมชาติเรื่องสังขาร กับวิสังขารมากขึ้น และเข้าใจคำพูดหลวงตาที่ว่าสิ่งใดกระดุกกระดิกได้แม้แต่นิดเดียวเป็นสังขารหมด เกิดจากความไม่มีแล้วดับคืนสู่ความไม่มีอีก ทำให้เข้าใจหลายตัวอย่างที่หลวงตายกขึ้นมาเป็นตัวอย่างบ่อย ๆ เช่น ใจได้แต่รู้ว่ามีอะไรเกิดดับในมัน มันได้แต่รู้แต่มันทำกริยายึดไม่ได้ ปล่อยวางไม่ได้
ใจเหมือนมดลูก มันได้แต่รู้ว่ามีเด็กเกิดดับในมัน
ใจเหมือนท้องฟ้า มันได้แต่รู้ว่ามีนกบินผ่านมัน
จากการฟังธรรมทั้งจากหลวงตา อาจารย์ ผู้ช่วยสอนทุกท่าน ประสบการณ์จากทุกท่าน เกิดประโยชน์มากมาย ได้นำมาสังเกตตัวเอง ปัจจุบันยังฟังธรรม ยังมีหลงอยู่แต่เริ่มสังเกตเห็นว่ามีตัวผลักดันบีบคั้นอยู่ในใจ เป็นก้อนขึ้นมา สุดท้ายแล้วแต่หลวงตาจะเมตตา ธรรมใดที่องค์หลวงตารู้แจ้ง ขอธรรมนั้นรู้เเจ้งแก่ใจโยมด้วยเช่นกันสาธุ สาธุ สาธุ
น้อมกราบหลวงตากับความเมตตา ไม่มีที่สุดไม่มีประมาน
หลวงตา : หลงไปมีความอยากรู้ อยากเห็น อยากได้ อยากเป็นใจ อยากปล่อยวางผู้รู้ไห้ได้ อยากเป็นธรรม อยากนิพพาน มันเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ในปฏิจจสมุปบาท
***** สิ้นตัณหา ก็นิพพาน
ผู้ถาม : ดิ้นรนหามาตั้งนาน ที่แท้ก็แค่หยุด พอหยุดก็เลยพบธรรมเจ้าคะองค์หลวงตา
กราบองค์หลวงตาด้วยความศรัทธา
สาธุเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2565