ผู้ถาม : วันนี้หนูมาส่งการบ้านในรอบหนึ่งเดือนที่ได้ฝึกการพิจารณาความตายควบคู่ไปกับการใช้ชีวิตประจำวันค่ะ
ตอนนี้หนูสามารถพิจารณาความตายไปพร้อมกับการทำงานที่ไม่ต้องใช้การคิดวิเคราะห์หนัก ๆ หรืองานที่หนูทำจนชำนาญได้แล้วค่ะ แต่ก็ยังมีหลงไปกับเรื่องโลก ๆ อยู่ค่ะ
มันเห็นได้ชัดมากเลยหลังจากที่กลับมาจากวัด คือหนูเป็นคนติดการอ่านนิยายค่ะ ตอนที่หนูอยู่ในวัดความคิดอยากอ่านนิยายมันไม่เคยเข้ามารบกวนหนู จนหนูคิดว่าหนูปล่อยวางมันได้แต่จริงแล้วไม่ใช่ค่ะ
พอกลับมาใช้ชีวิตความอยากอ่านมันก็ยังอยู่แถมรุนแรงขึ้นเพราะหนูไม่ได้อ่านมันหลายวัน และนิยายที่หนูกำลังอ่านมันก็กำลังจะออกเล่มใหม่ทีนี้ความอยากอ่านมันก็เข้ามาแทรกการพิจารณาความตายอยู่หลายวันเลยค่ะ
จนวันหนึ่งที่มันก็ยังคิดวน ๆ เฝ้าคอยนิยายเล่มนั้นอยู่ หนูก็ยังพยายามพิจารณาความตายไปอย่างกระท่อนกระแท่นเพราะมันไปหลงสังขารตัวนี้เป็นว่าเล่นยื้อยุดกันไปมาจนเหมือมันมีเสียงหนึ่งขึ้นมาค่ะหนูไม่แน่ในว่ามันคืออะไรมันพูดขึ้นมาในใจแต่เหมือนโดนเสียงนั้นดุอะค่ะ เสียงนั้นถามว่า "ถ้าตายตอนนี้ยึดอะไรอยู่!" และแน่นอนว่าสิ่งที่ขึ้นมาก็คือ นิยายเล่มนั้นค่ะมันแว๊บขึ้นมาเลย แล้วเสียงนั้นก็ว่าต่อว่า "แล้วไอ้ที่พิจารณาความตายอยู่เนี่ยก็เห็นไม่ใช่เหรอว่าศพเราน่ะก็ตายอยู่ในการพิจารณา มันจะอ่านหนังสือได้ไหม!" หนูก็ตอบว่าไม่ได้ แล้วมันก็ถามอีก "แล้วตอนนี้ยึดอะไรอยู่!!" นิยายเล่มนั้นก็แว้บมาอีก
เสียงนั้นก็พูดอีกว่า "ดู! ดูดี ๆ ! ที่พิจารณาอยู่เนี่ยใครมันตาย ใครมันตายอยู่ในปัจจุปัน! ก็ตายอยู่เนี่ยมันจะไปมันใครไปอ่านหนังสือในอนาคต"
"หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย ตายได้ทุกที่ทุกเวลาเหมือที่กำลังพิจารณาอยู่เนี่ย ก็ในเมื่อมันตายอยู่และถ้าตายขึ้นมาจริง ๆ คิดว่าจะได้อ่านมันเหรอ! แล้วตอนนี้ยังยึดอะไรอยู่อีก!"
จากนั้นนิยายเล่มนั้นก็แว๊บมาอยู่เรื่อย ๆ เสียงนั้นก็บอกให้พิจารณาความตายไปเรื่อย ๆ จนสังขารมันแทรกน้อย ๆ ลงเรื่อย ๆ จนเช้า
วันต่อมาหนูนั่งกินข้าวไปด้วยพิจารณาความตายไปด้วยเสียงนั้นก็ถามขึ้นมาเหมือนเดิมว่า "ถ้าตายตอนนี้ยึดอะไรอยู่อีก!" แน่นอนว่านิยายเล่มนั้นก็ขึ้นมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้จู่ๆมันนึกไปถึงเรื่องที่พระรูปหนึ่งที่หวงจีวรมาแล้วไปเกิดเป็นเล็นอยู่บนจีวรแล้วมันก็นำมาเปรียบเทียบว่าถ้าหนูตายเหมือนที่พิจารณาความตายอยู่ในปัจจุปันแล้วไปเกิดเป็นเล็นอยู่บนหนังสือนิยาย ที่แม้แต่จะเปิดอ่านมันก็ยังไม่ได้ มันจะไปมีค่าให้ยึดถืออะไรอ่านก็ไม่ได้อ่าน เพราะเราก็ตายไปแล้วและนิยายมันก็ยังไม่ออก พอทุกอย่างมันมาลงที่ความตายในปัจจุบันมันก็หลุดป็อกออกมาเลยค่ะ มันแบบอึ้งเลยค่ะโง่ยึดอยู่ตั้งหลายวัน ความดิ้นรนอยากอ่านหายวั๊บไป พอตายในปัจจุบันทุกอย่างก็จบ
พอหนูเห็นแบบนี้เวลาสังขารมันชวนปรุงแต่งไปเรื่องอดีต อนาคต ต่าง ๆ พอเห็นมันหนูก็กลับมาอยูกับความตายในปัจุบันซ้ำไปเรื่อย ๆ เพราะก็ตายอยุ่ทุกบัจจุบันมันจะมีใครไปทำอะไร แต่หนูยังพิจารณาในตอนที่พูดคุยกับคนอื่นหรือใช้ความคิดในการทำงานมากไม่ได้ค่ะ และหนูคิดว่ามันเป็นเพราะภาพยังไม่ติดตาพอ จนไม่ต้องไปพึงพลังความคิดในการพิจารณาค่ะ และขอสารภาพว่าขาดความต่อเนื่องค่ะ ตอนอยู่ที่วิทยาลัย พอคลุกคลีหมู่คณะหนูก็หลงโลกไปเลยค่ะกว่าจะรู้สึตัวก็หลงไปไกลมากแล้ว มันทำให้หนูรู้สึกผิดค่ะ มันละอาย หนูเลยเปลี่ยนมันมาเป็นไฟในการพิจารณาซะเลยค่ะ ชาตินี้หนูจะต้องได้ตายสองครั้งค่ะ!!!
หลวงตา : สาธุ สาธุ สาธุ
ให้เพียรพิจารณาความตายของเราให้ต่อเนื่อง
ผู้ถาม : แล้วก็คุณแม่ฝากมาถามเรื่องวิธีการพิจารณาค่ะ คือถ้าเกิดว่าเราถ่ายรูปเราในอิริยาบทที่เปรียบเสมือนเรานอนตายเพื่อที่จะได้ดูภาพถ่ายนั้นให้ติดตาเพื่อที่จะได้น้อมมาเป็นตัวเราได้ง่ายขึ้น มันจะะทำให้เราเข้าใจผิดเอาตัวเราไปดูตัวเราตายหรือเปล่าคะ?
หลวงตา : ให้นึกถึงความจริงว่าเมื่อเราตายแล้ว จะมีสภาพเป็นอย่างไร
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 2565