ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา
วันนี้ลูกมีไข้ ไอเป็นเลือด แต่ก็ไม่ได้ตกใจอะไรเจ้าค่ะ และไปกดดูรูปฟิล์มเอกซเรย์ของตัวเอง จึงเพิ่งเห็นว่ามะเร็งลามไปปอดเป็นก้อน ๆ เยอะมากเลย มันเหมือนมีอึ้งไปแว๊บนึง ว่า "ถึงจะรักษาโรคในท้องได้ แต่ก็ต้องตายเพราะโรคในปอดอยู่ดีสินะ"
พอเห็นความตายอยู่ตรงหน้าอีกครั้ง มันก็สงบราบลงไปเลยเจ้าค่ะ เหมือนครั้งนี้มันทำใจได้จริง ๆ ว่าท้ายที่สุดมันก็ต้องเหนื่อย หายใจไม่ได้ และสังขารมันก็ต้องแตกดับไป ไม่มีใครหลีกเลี่ยงพ้นเลยเจ้าค่ะ
แต่แปลกที่พอรู้ว่าต้องตายจริง รอบนี้ใจมันสงบ ไม่วุ่นวาย ไม่กลัว ไม่กังวล ไม่ทุรนทุรายใด ๆ อีกต่อไปแล้ว ธาตุขันธ์เป็นอย่างไร มันก็ต้องเป็นอย่างที่มันเป็นเจ้าค่ะ
หลังผ่านวิกฤตมา ทั้งโยมพ่อโยมแม่ใจเปลี่ยนเป็นธรรม ทั้งคู่เลยเจ้าค่ะ
ทุกวันนี้เราเปิดใจคุยกัน ในเรื่องความไม่เที่ยง ความตายได้ จนเป็นการสนทนาปกติของครอบครัวไปแล้วเจ้าค่ะ
แม่เค้าเก่งมาก ที่ปล่อยลูกได้ในช่วงเวลานั้นถ้าลูกจะไป แม่บอกว่าแม่ไม่อยากรั้งลูกเอาไว้แล้ว แม่อธิษฐานแค่ว่า ขอให้ลูกได้รู้ธรรมเห็นธรรมก่อนตาย เพราะเค้าไม่ปรารถนาให้ลูกต้องมาเวียนว่ายตายเกิดใช้กรรมอีก
แม่บอกว่า ถ้าลูกนิพพานก่อนตายได้ ดวงจิตวิญญาณก็จะหายไป เจ้ากรรมนายเวรเค้าก็หาลูกไม่พบอีกต่อไปแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่แม่อธิษฐานขอให้ลูกเจ้าค่ะ และใจของโยมแม่ ก็สงบมากจริง ๆ จากเดิมที่ต้องเล่นหวย เฮฮา อะไรนี่ ไม่มีแล้วเจ้าค่ะ ถามแม่แม่บอกว่า มันก็ไม่อยากซื้อไปเอง แค่อยู่สงบแบบนี้ แม่ก็อยู่ได้แล้วเจ้าค่ะ
ส่วนกับพ่อจากเดิมที่เป็นซึมเศร้า ตอนนี้กลับมาคุยเรื่องธรรมะกัน และพ่อคุยสนุก เพราะพ่อเป็นครูฟิสิกส์ มันมีกฎเกณฑ์ในธรรมชาติ ระบบพลังงาน ที่อธิบายได้ในเชิงธรรมะด้วย เลยกลายเป็นว่าได้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน พ่ออธิบายหลักวิทยาศาสตร์ให้ลูกฟัง ส่วนลูกก็อธิบายกลับไปว่า ในแง่มุมของธรรมะ จะอธิบายตรงนี้อย่างไร เจ้าค่ะ ทำให้จิตใจพ่อ ตอนนี้ดีขึ้นจนเป็นปกติ ไม่ซึมเศร้าดิ่งไปในแบบเดิมแล้วเจ้าค่ะ
หลวงตา : นัตถิ สันติ ปะรัง สุขัง ใจที่สงบจากความปรุงแต่ง ไม่วิตกกังวล ไม่ยึดมั้นถือมั่น คือ นิพพาน
ผู้ถาม : หากได้ไปกราบหลวงตาอีก ขอโอกาสให้โยมพ่อโยมแม่ส่งการบ้านจากประสบการณ์ตรงด้วยเจ้าค่ะ หลวงตา
หลวงตา : บอกพ่อกับแม่ว่า “หลวงตารับเป็นลูกศิษย์ เหมือนกับหมอจุ๋งจิ๋ง”
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณความเมตตาของหลวงตาเจ้าค่ะ
ลูกจะบอกพ่อแม่ตามนี้เจ้าค่ะ และอีกอย่าง ลูกรู้สึกว่าช่วงนี้ทุกอย่างมันถูกปล่อยออกมาแบบอิสระ ไม่มีใครไปขวางธรรมชาติ
แล้วทุกอย่างอย่างอนุสัยต่าง ๆ มันก็ปรากฏอยู่บ้าง อย่างความภูมิใจตามพุทธจริต นี่มันก็ยังมีอยู่เจ้าค่ะ แต่เหมือนกับมันไม่มีแรงดึงดูดใจเลยเจ้าค่ะ จนตอนหลังมันก็เบาบางไป ๆ ก็ยิ่งสงบลึกขึ้นไปเรื่อย ๆ เจ้าค่ะ
หลวงตา : เราคือธรรมชาติ ธรรมชาติก็คือเรา ไม่แบ่งแยก สงบ เย็น สันติ เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ตายแตกดับเฉพาะร่างอาศัยที่มาปรากฏในภพภูมิต่าง ๆ แต่ธรรมชาติเดิมแท้ หรือ เราที่แท้จริงไม่เคยเกิดตาย เป็นอมตะ
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ
ทางที่เดินคนเดียว มันช่าง สงบ เย็นจนถึงใจจริง ๆ
หลวงตา : มีหลายคนเคยมานั่งอยู่ในท่ามกลางธรรมชาตินี้ แล้วหลายคนก็จากไป
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ หลวงตา
พอได้ดูรูป และได้อ่านปุ๊บ มันเหมือนกับชาวาบไปจนถึงหลังโดยไม่มีเหตุผลเลยเจ้าค่ะ
พลังงานแท้จริงแล้ว มันกลืนเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติจริง ๆ ว่างเปล่า และไร้ผู้ยึด เจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2565