ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา ขอโอกาสส่งการบ้านเจ้าค่ะ
ลูกมีแผนผ่าตัดก้อนมะเร็งขนาดใหญ่ในช่องเชิงกรานออก วันที่ 1 มิ.ย. นี้ ซึ่งหมอเขาบอกว่า เป็นผ่าตัดใหญ่มาก ความเสี่ยงสูง มีโอกาสจะเสียเลือดมาก ซึ่งอาจจะถึงชีวิตได้เจ้าค่ะ
ลูกเลยเอาโอกาสนี้มาพิจารณา เห็นร่างตัวเองนอนบนเตียง ICU หลังผ่าตัด คาบท่อช่วยหายใจ มีสายน้ำเกลือ ยา ระโยงระยางไปหมด มีหมอ พยาบาลเดินไปเดินมาพยายามจะช่วยยื้อชีวิตลูกไว้ แต่ก็ยื้อไม่ไหว
ภาพร่างกายที่บวมน้ำเกลือและใบหน้าค่อย ๆ ซีดเขียวมากขึ้นเรื่อย ๆ มือเท้าเย็นเฉียบเพราะเลือดเริ่มไม่ปั๊มไปเลี้ยงแล้ว และหายใจเฮือก เฮือก และสุดท้ายก็หยุดลง
ภาพหน้าตัวเองที่คาบท่อช่วยหายใจ จากสีเหลืองอมชมพู กลายเป็นสีม่วงซีด ปราศจากวิญญาณมันติดตาติดใจมากเลยเจ้าค่ะ เห็นแล้วมันวาบ ใจหายบอกไม่ถูก
ยิ่งเปิดดูตามตัว ร่างกายบวมฉึ่ง ผิวหนังเป็นสีที่ปราศจากชีวิต แต่รอยแผลเป็น รอยผ่าตัด ไฝ ฝ้า มันไม่มีผิดเพี้ยนจากที่อยู่บนกายลูกเลย
มันคือ ร่างกายตัวเองตายชัด ๆ เลยเจ้าค่ะ
แล้วหมอก็มาถอดเครื่องช่วยหายใจออก พยาบาลเช็ดตัวพลิกไปมา เพื่อทำความสะอาดร่างกายเป็นครั้งสุดท้าย แล้วใช้สำลีอุดตามรูจมูก รูทวาร เพื่อไม่ให้น้ำเลือดน้ำหนองไหล แล้วใส่ชุดแม่ชีที่ลูกเคยบอกไว้ว่าถ้าตายจะใส่ชุดนี้ หลังจากแต่งตัวเสร็จก็เอาผ้าคลุมไปห้องดับจิต
ในห้องดับจิตมีศพนอนเรียงรายไปหมด ทั้งเย็น ทั้งกลิ่น ชวนขนลุกจริง ๆ แล้วร่างกายก็เริ่มเปลี่ยนสี ผิวหนังม่วงคล้ำขึ้นกว่าเดิม
วันรุ่งขึ้นก็เอาใส่โลงไปทำพิธีที่วัด พ่อแม่มาฟังสวด 7 วัน ระหว่างนั้นศพในโลงก็เปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ๆ บวมเน่ามากขึ้น ๆ น้ำหนองน้ำเหลืองไหลซึมออกมา ผิวหนังปริแตก ผ้าขาวของชุดแม่ชี เปื้อนน้ำเลือดน้ำเหลืองไปหมด
ยิ่งวันสวดวันสุดท้ายนี่บางส่วนเน่าปะทุจนหนอนเริ่มไชออกมา ส่วนใบหน้าทั้งบวม พอง สีม่วงคล้ำ พอเนื้อเยื่อรอบตาเน่า ตาก็เริ่มถลนออกมา เหมือนจะหลุด
พอวันเผา เค้าเปิดให้ญาติดูศพครั้งสุดท้าย พ่อแม่มาเกาะขอบโลง เห็นร่างลูกเหมือนหน้าเขาช๊อคไป น้ำตาไหลแต่ร้องไม่ออก เพราะสภาพมันเปลี่ยนไปไม่เหลือเค้าเดิมเลยจริง ๆ
พอปิดโลง เอาเข้าเตาเผา ไฟก็ลุกโชน ไหม้โลงไม้ ไหม้เนื้อตัว สีม่วงให้ดำเกรียมไปหมด และไหม้ชุดขาวด้วย ไฟก็ลามไปเรื่อย ๆ ไหม้ไปเรื่อย ๆ จนทุกส่วนค่อย ๆ กลายเป็นเถ้าธุลี รวมกับเถ้าธุลีที่กองกันอยู่ในเมรุเดิม มันเลยไม่อาจมีร่างตัวเราแยกเป็นตัวตนอีกแล้ว หายไปเป็นขี้เถ้า
พอเผาเสร็จก็เก็บกระดูก เหลือชิ้นปะการังเล็ก ๆ เอาไปลอยอังคาร ก็กลับสู่ธรรมชาติไปหมด
พิจารณารอบแรก มันมีปฏิกิริยาเยอะเจ้าค่ะ ทั้งวาบ ๆ ใจหาย ขนลุก และพอพิจารณาจบใจมันรู้เลยโดยไม่ต้องพูด ว่า "ทุกชีวิตไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น เมื่อเกิดมาแล้วก็ต้องตาย เกิดก็เพื่อตายเท่านั้น"
พอพิจารณารอบสองรอบสาม มันเริ่มรู้ว่า
กายนี้เป็นการรวมตัวของธาตุ จากเดิมไม่มี พอธาตุมาประกอบกัน มันเลยมีขึ้นมา และสุดท้ายมันก็ต้องคืนธาตุเหล่านั้นกลับสู่ธรรมชาติดังเดิม ก็ไม่มีกายนี้อีก
แต่ถึงแม้ตรงที่ว่า ทุกคนหนีความตายไม่พ้น มันลงแก่ใจแล้ว แต่ลูกรู้ว่า ส่วนที่แยกธาตุกลับสู่ความไม่มี มันยังไม่ลงใจ ยังเป็นความจำช่วยอยู่เจ้าค่ะ คงต้องทำซ้ำให้เห็นความจริงไปเรื่อย ๆ เจ้าค่ะ
ระหว่างที่พิจารณากาย จิตมันสงบไปโดยธรรมชาติเลยเจ้าค่ะ มันไม่อยากได้ อยากมี อยากเป็นอะไรเลย
สิ่งที่เคยอยากได้ มันก็เริ่มคิดได้ ว่าจะเอาสิ่งเหล่านั้นไปทำไม เดี๋ยวทุกคนก็ต้องตายแล้ว
ระหว่างอาบน้ำก็พิจารณาไปด้วย พอถึงตอนที่ใบหน้าตัวเองเปลี่ยนจากสีหน้าคนเป็น มาเป็นสีหน้าของคนตาย ใจมันวาบ ๆ
แต่แปลกที่ทั้ง ๆ ที่เหมือนมันไม่ได้รู้อะไรที่เป็นคำพูดเลย แต่พอเห็นนิมิตตัวเองตาย สีของผิวกายระหว่างอาบน้ำจากสีขาวหม่น มันเปลี่ยนเป็นสีทองคำ ฉายแสงเป็นออร่าออกมาเห็นด้วยตาเปล่าเลยเจ้าค่ะ
หลวงตา : ธรรมชาติจริงแท้ หรือ ธรรมชาติเดิมแท้ ไม่เคยมีตัวตน (อัตตา) เป็นตัวเรา เป็นของเรา ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่มีอะไรปรากฏ จึงไม่เกิดดับ ไม่เกิด ไม่ตาย
ส่วนที่ดับ (ตาย) เป็นเพียงกายและจิตปรุงแต่งที่เกิดมาตามกรรมในภพภูมิต่าง ๆ ซึ่งเป็นเพียงสิ่งสมมติเท่านั้น
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565