ผู้ถาม : หลวงตาเจ้าขา
พอมาพิจารณาดี ๆ แม้แต่การเป็นดอกบัวบาน มันก็ยังไม่สิ้นสุดการเดินทาง ยังมีภาระที่ต้องมาเช็คตรวจสอบว่าหลงไปเป็นกลีบดอกอีกหรือยัง ซึ่งเป็นภาระของใจอยู่ตลอดเวลา จึงไม่อาจเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติอย่างแท้จริง
แต่สิ่งที่เป็นคำตอบสุดท้าย คือหน้าสุดท้ายของหนังสือ ที่หลวงตาประทานมาให้ต่างหาก
"กระดาษเปล่า ที่ข้างในเป็นช่องว่างกลวง"
พอภาพนั้นปรากฏในใจ มันก็เข้าใจทุกอย่างทันทีเลยเจ้าค่ะ ลูกไม่สามารถพูดอธิบายธรรมหน้าสุดท้ายได้เลย แม้แต่ตัวอักษรเดียว แค่จะพูด จะคิดให้มันออกมาเป็นสมมติมันก็เหมือนอะไรมาจุก ๆ ที่คอ ไปต่อไม่ได้
เมื่อไปต่อไม่ได้ก็ต้องยอมศิโรราบจริง ๆ ว่าเมื่อสะพานหัวขาดมันไม่อาจเดินต่อได้อีกแล้ว ได้แต่ให้มันเป็นไปตามธรรมเช่นนี้เจ้าค่ะ
ทุกวันนี้ มีหลงเข้าไปเป็นกลีบดอกบัวบ้างเจ้าค่ะ แต่พอมันระลึกได้ว่านี่เป็นความหลง สิ่งที่หลงมันก็ดับไปเอง และก็มีหลงพยายามจะไม่ให้หลงเข้าไปเป็นกลีบด้วย อยากเป็นความว่าง สงบ สันติ ใจกลางดอกตลอดไป คิดกรรมวิธีเลยทีนี้
แต่สุดท้ายธรรมก็ปรากฎว่า "ทำไม่ได้" เจ้าค่ะ หมายถึง มันไม่มีวิธีใดที่จะรักษาตัวเองไว้ไม่ให้หลง เพราะทันทีที่มี "ตัวเอง" หรือมีเป้าหมายที่จะ "รักษา" นั่นคือจุดเริ่มต้นของอวิชชา ตัณหา อุปาทาน
ถ้ามันผิด มันก็ผิดตั้งแต่จุดเริ่มต้นเลย มันไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสิ่งแวดล้อมภายนอกเลยเจ้าค่ะ อยู่ในใจตัวเองล้วน ๆ เลยจริง ๆ
พอเห็นแบบนี้บ่อย ๆ เข้า มันก็ไม่ค่อยไปหลงกับความฝัน ความปรุงแต่งในเรื่องราวใด ๆ แล้ว เหมือนมันยอมละทิ้งความฝันมาอยู่กับความจริง
ความฝัน ก็คือ มายาแห่งกลีบดอกทั้งหลาย จะสวยงามก็ตามจะแห้งเหี่ยว จะดูสนุกสนาน แต่มันก็เป็นเพียงกลีบดอกเท่านั้น
แต่ความจริง คือ สิ่งที่รู้อยู่ตามธรรมชาติว่าความฝันคือความฝัน ไม่ใช่ความจริง กลีบดอกคือกลีบดอก ไม่ใช่ความว่างของใจกลางดอกบัว
ธรรมชาติรู้ เช่นนี้ คือ "สัจธรรม" หรือ "เอโกธัมโม" ใช่ไหมเจ้าคะ หลวงตา เป็นหนึ่ง ไม่มีสองจริง ๆ
หลวงตา : (ภาพธรรม)
ในความว่างเปล่าอันไร้ขอบเขต
ไม่เคยมีสิ่งใดอยู่จริง
ทุกสรรพสิ่งล้วนเป็นมายา
ผู้ถาม : สาธุ ภาพธรรมสุดท้ายชัดเจนมากเลยเจ้าค่ะ เหมือนใจกลางพระอาทิตย์คือความว่างที่ไม่มีอะไรเลย แต่ปรากฏรัศมีของแสงสีต่าง ๆ ออกมาก่อน แล้วจึงแผ่ออกไป เริ่มมีวัตถุ มีสิ่งมีชีวิต มีเรื่องราว อาศัยอยู่ในบึงบัว โลกทั้งใบก็เป็นเช่นนี้ใช่ไหมเจ้าคะ กำเนิดจากสิ่งที่ไม่มี จนเป็นมายาเรื่องราวเหล่านั้น แต่คนทั้งหลายเคยชินกับภาพมายา อยู่แต่กับบึงบัว ไม่ได้เห็นโลกที่พ้นไปจากนั้นเลย ทั้ง ๆ ที่โลกเดิม บ้านเดิม มันอยู่ในใจเขาแท้ ๆ
หลวงตา : สังขารทุกปัจจุบันขณะ เขาเกิดเองดับเอง ไม่เกี่ยวกับใจแท้ ใจบริสุทธิ์
ใจแท้ ใจบริสุทธิ์ ……..
หลงรักษาใจไม่ให้หลงไม่ได้
หลงรักษาใจให้บริสุทธิ์ไว้ไม่ได้
หลงพยายามปล่อยวางไม่ได้
หลงดิ้นรนค้นหาทางบรรลุนิพพานไม่ได้
หลงพยายาม ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ…………ไม่ได้
หลงเป็นสังขาร หลงคิด หลงปรุงแต่ง หลง……..ไม่ได้
ที่หลงเป็นสังขาร หรือเป็นกิริยา หรืออาการต่าง ๆ ได้….จะต้องเป็นสังขาร
***** ใจแท้ตามธรรมชาติ เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์แต่ดั้งเดิม ไม่มีใครบังอาจไปทำให้เขาเป็นใจบริสุทธิ์แท้ตามธรรมชาติ เพียงหลงเอาสังขารคิดปรุงแต่งยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตัวเรา เป็นของเราเท่านั้น และ ผู้ที่หลงยึดมั่นเป็นตัวเรา เป็นของเราก็เป็นธรรมชาติปรุงแต่ง (สังขาร) ส่วน “ใจ”แท้ เป็นธรรมชาติที่เป็นวิสังขาร หรือ อสังขตธาตุ คือ เป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฏ ไม่มีรูปลักษณ์ ไม่อาจคิด ไม่อาจปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ เป็นอมตธาตุ เป็นอมตธรรม
***** จึงไม่ได้หายไปในขณะที่โง่ (อวิชชา) และ ไม่ได้เกิดขึ้นมาใหม่ในขณะตรัสรู้ เขาเป็นธรรมชาติที่เป็นเช่นนั้นของเขาเองอยู่แล้ว คงมีแต่ความโง่ของเราเอง (อวิชชา) ที่คิดปรุงแต่งยึดมั่นถือมั่นเขา หรือ พยายามไปเป็นเขาอย่างถาวร
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 2565