ผู้ถาม : เมื่อวานที่พี่มุ้ยพูด….. ตรงกับสภาวะที่ลูกเป็นในปัจจุบันเหมือนกันเจ้าค่ะ ที่ว่ามันไม่มีอะไรเลย แม้แต่จิตที่เกิด-ดับ ก็ไม่มี
แต่วันนี้ก็สภาวะเปลี่ยนจากเมื่อวานเสียแล้ว หลังจากมันเห็นแต่เช้า ว่าจิตมันรั่วได้ เพราะเมื่อจิตปรากฏเป็นคิดขึ้นมา แล้วเข้าใจว่าในที่คิดนั้น ยังมีเรื่องราวในสมมติ คือ แค่เป็นสัตว์ บุคคล ตัวตน ก็คือรั่วแล้ว
หลังจากนั้นทำลมปราณเช้า เมื่อความคิดปรุงแต่งปรากฏ โดยเฉพาะเรื่องจิตเรื่องธรรม มันมองเป็นสมมติธรรมทั้งหมด ไม่ได้ใส่ใจและอยู่เพียงคำอธิษฐานที่ท่องเท่านั้น
ปรากฏว่า การทำลมปราณสบาย และราบเรียบขึ้น เหมือนมันสงบไปตามธรรมชาติ และไม่รั่วของมันเอง
และตอนเช้าก็นั่งรถเดินทางกลับ กทม. พ่อแม่เขาก็ชวนคุยไปเรื่อย มันก็คุย แต่ในขณะที่คุย เหมือนมันเกิด 2 อย่างพร้อมกัน คือ ส่วนที่ไปเข้าใจเนื้อหาที่คุยทำให้ยังคุยรู้เรื่องอยู่ แต่ก็มีความรู้แก่ใจ ว่าทุกสิ่งที่ปรากฏ เรื่องราวเหล่านั้นเป็นสมมติ ในขณะเดียวกัน
ซึ่งสองส่วนนี้ดำเนินไปพร้อมกัน ทำให้แม้คุยอยู่ แต่ก็ยังดำรงความสงบของใจไว้ได้เจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ สาธุ สาธุ
“การม้างกาย” แบบหลวงปู่หลุย จันทสาโร เปรียบเหมือนการทำศึกสงครามตีเมืองอวิชชา ตัณหา อุปาทาน จากข้างนอกเข้าไปข้างใน
“การเห็นจิต เป็นธรรม” แบบของหลวงปู่ดูลย์ อตุโล เปรียบเหมือนการที่มีใส้ศึกภายในเมืองตีเมืองอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ออกมาจากข้างในพร้อมๆ กับข้างนอก
***** ถ้าทำศึกสงครามาตีเมืองกิเลส หรือ อวิชชา ตัณหา อุปาทานทั้งด้านนอกและด้านในไปพร้อมๆ กันดังกล่าว ด้วยมีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ไม่ช้าเมืองก็แตก
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2565