ผู้ถาม : น้อมกราบหลวงตาเจ้าค่ะ
เดินไปเดินมาไม่กี่ก้าว ก็สงบมากขึ้นมาเอง นั่งบริหารเข่ายกเท้าขึ้นลง เดินทำโน่นนี่นั่น นั่งดูลมหายใจ รู้เห็นสังขารเกิดเองดับเอง เกิดเองดับเอง ไม่มีผู้รู้ ไม่มีใจ
ความสงบก็ไม่เที่ยง ไม่คงที่ สงบมาก น้อย ปานกลาง มีหลายระดับ จะสงบก็สงบขึ้นมาเอง ควบคุมไม่ได้
ลมหายใจไม่เที่ยง กายก็ไม่เที่ยง ควบคุมไม่ได้ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยงไม่คงที่ ต้องแก่เจ็บตายเป็นทุกข์เป็นอนัตตา ควบคุมไม่ได้ ไม่ใช่อัตตาสัตว์บุคคลเราเขา จากไม่มีแล้วมีขึ้นมาแล้วกลับสู่ความไม่มี ว่างเปล่าไปทั่วอนันตจักรวาล ว่างเปล่าจากสาระแก่นสาร
ความอยากนิพพานเข้ามาขวางธรรมจึงไปต่อไม่ได้เจ้าค่ะ
กราบขอขมาหลวงตาเจ้าค่ะ
หลวงตา : ปัจจุบันธรรม มีแต่สังขารเกิดดับในธรรมชาติไม่เกิดดับเท่านั้น ไม่มีตัวตน ไม่มีตัวเรา ไม่มีจิตหรือใจของเรา แต่เพราะความหลงยึดมั่นเป็นตัวตน เป็นเรา ตัวเรา ของเรา จึงจะมีผู้ไปเอา ไปถึงนิพพานข้างหน้า (ในอนาคต)
เมื่อ “สัจธรรม” ความเป็นอัตตาตัวตน เป็นเรา ตัวเรา ของเรา ที่เที่ยงแท้ไม่มีอยู่จริง เหตุใดจึงหลงมีความพยายามดิ้นรนทะยานอยาก (ตัณหา) ต่อนิพพาน
“นิพพาน” คือ ความรู้แก่ใจใน “สัจธรรม” ดังกล่าว โดยไม่เลอะเลือน ไม่หลงลืมว่ามีอัตตาตัวตนของเราอีกเลย
เมื่อสิ้นหลงว่ามีอัตตา จึงสิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือสิ้นกิเลส พ้นทุกข์ ภาษาสมมติเป็นภาษาไทยว่า “นิพพาน” และ สมมติเรียกผู้นั้น ไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือนักบวชว่า “พระอรหันต์”
*****…. มีรูปแบบ เพื่อ ไร้รูปแบบ จำสัจธรรมได้หมด เพื่อ ลืมหมด
เมื่อสัจธรรมถึงใจ ใจเป็นธรรมเสียเองแล้ว ไยยึดติดรูปแบบและความจำ
ไร้กังกล ไร้ยึดมั่น … เป็นธรรมของอริยะ
ผู้ถาม : น้อมกราบองค์หลวงตาค่ะ
ใช่ที่สุด เป็นเช่นนั้นแล...
ไม่มี มี มี ไม่มี
เสมือนสอบผ่านข้อเขียน แต่สอบตกภาคปฏิบัติ ทั้งที่ไม่ยึดทฤษฎีเจ้าค่ะ งงตัวเองอยู่เจ้าค่ะ
หลวงตา : เป็นเพราะ “อวิชชา” เกิดดับเป็นขณะจิต
ผู้ถาม : ตั้งแต่ก่อน 2 ทุ่มความเงียบสงบมาเองมากมายหลายชั่วโมงต่อเนื่อง สงบมาก มาเองไปเอง
หลวงตา : มีอัตตาตัวตนยึดมั่นความเงียบสงบ
ผู้ถาม : ใช่เจ้าค่ะ รู้ว่ายึด แต่ดับเขาไม่ได้ สู้ความโง่อยู่นาน
หลวงตา : แสดงว่าภายในจิตใต้สำนึก มี “อวิชชา” ยึดมั่นเป็นอัตตาตัวตน เป็นเรา ตัวเรา ของเรา
ไม่มี “อัตตา” ความเป็นตัวตนเที่ยงแท้อยู่จริง จึงไม่มีอัตตา หรือ อวิชชา ให้ต้องทำลาย
มันเป็นเพียงความหลงคิดปรุงแต่งยึดมั่น (อวิชชา เป็นปัจจัยให้เกิดสังขารกรรม สังขาร เป็นปัจจัยให้เกิดวิญญาณกรรม)
ต้องโยนิโสมนสิการ “สัจธรรม” ไว้ในใจโดยแยบคายอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย และ เห็นสัจธรรมความจริงด้วยใจในปัจจุบันธรรม
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงตา
ชัดเจนเจ้าค่ะ ไม่หลงลืม ไม่เลอะเลือนว่ามีอัตตาตัวตนของเราอีกเลย ชีวิตที่อยู่เช่นนั้น ต่อให้มีชีวิตอยู่ก็เหมือนตายแล้ว
การอยู่ในโลกที่มีแต่ตัวเราคนเดียวที่เห็นความจริง ยอมรับความจริง แต่ไม่มีคนอื่นเห็นความจริงใดกับเราเลย มันช่างอยู่ยากเหลือเกินเจ้าค่ะหลวงตา
บางทีก็ปล่อยๆ ความเพียร ยอมเลอะเลือนเพื่อไม่ให้สิ้นสมมติจะได้ยังไม่ตายเมื่ออยู่ต่อหน้าพวกเขา แต่พออยู่คนเดียว มันก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ว่าทั้งตัวเราและสมมติทั้งหมด มันก็ดับหายไปอยู่ดีเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2564