ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา เช้านี้ตื่นมามันก็เห็นเองว่าชีวิตไม่เที่ยงเจ้าค่ะ มันไม่มีอะไรที่แน่นอนเลย นอนน้ำตาไหลเปียกหมอนแต่เช้า
การปฏิบัติทั้งหมดมันต้องปฏิบัติเพื่อให้ชีวิตอยู่แบบไม่ผิดศีลธรรม ไม่ผิดกฎหมาย มีสติ ไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ตนเองและผู้อื่น
แต่การปฏิบัติทั้งหมด มันเอาอะไร มันคาดหวังอะไรไม่ได้เลย แล้วมันก็ถามตัวเองซ้ำๆ ว่า “การปฏิบัติที่ปฏิบัติอยู่บนชีวิตที่ไม่แน่นอน แล้วจะไปเอาอะไรได้?”
แล้วมันก็เริ่มพิจารณาความจริงของรูปทั้งหมด ซึ่งมันเห็นง่ายนะเจ้าคะ คือ แค่ดูมันก็เห็นแล้วว่า ทั้งหมดของคนในโลกเพียรพยายามเพื่อรักษาให้ “รูป” กายคงอยู่เป็นตัวเป็นตน ไม่ตาย ไม่สลายหายไป ทุกคนรวมทั้งตัวเราเองด้วยที่อยากได้แบบนั้น
มือหนึ่งก็ว่าปฏิบัติอยู่ เห็นความไม่เที่ยงอยู่ ปล่อยวางอยู่ แต่อีกมือหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าเราก็คาดหวังการไม่เสื่อมสลายของรูปกายนี้เช่นกัน จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม จะเพื่อตนเองจะไปทำประโยชน์เพื่อผู้อื่นก็ตาม แต่มันคาดหวังอยู่ลึกๆ มือหนึ่งปล่อย แต่มือหนึ่งกลับจะคว้ากลับมาเจ้าค่ะ
แต่มันก็ถามตัวเองจริงๆ ว่า แล้วจะคาดหวังการคงรูปได้อย่างไร? ในเมื่อมันก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่า สภาพรูปกายก่อนป่วยกับหลังป่วยมันก็ต่างกันเห็นๆ สิ้นความงามอยู่เห็นๆ เสื่อมสลายอยู่เห็นๆ แล้วจะยังอยากฝืนความจริงไปอีกหรือ?
ตัวเองก็ฉลาดได้ แต่ทำไมต้องปิดตาตัวเอง แกล้งโง่เพื่อให้มันเห็นแต่สิ่งที่ไม่ตรงจริง? ทำไมต้องหลอกตัวเองว่าจะไม่ตาย? ทำไมต้องหลอกตัวเอง ปลอบใจตัวเองด้วยการพยายามปฏิบัติ และหมกมุ่นกับการปฏิบัติออกไปข้างนอก เพื่อที่จะเลี่ยงไม่เห็น “จุดตาย” ของตัวเอง? ตัวเองก็รู้ความจริงอยู่แก่ใจ แล้วจะหลอกตัวเองไปถึงไหน?
ลูกว่า มันต้องลืมตาตื่นมาเห็นความจริงได้แล้ว เพราะถึงจะปิดตาไป เลี่ยงไปเลี่ยงมายังไง ความจริงมันก็ไม่เปลี่ยน และเลี่ยงไปมามันมีแต่ข้อเสีย คือ ขณะที่ดำรงชีวิตอยู่ มันก็ต้องเหลือความยึดให้เป็นทุกข์ เพราะมันเหลือใยที่ยึดตัวเองอยู่
และเมื่อจุดตายมาถึงจริงๆ จะกลายเป็นว่า ต้องถูกบังคับให้เผชิญความจริงในจุดที่ใจไม่พร้อมเลย มันจะหมิ่นเหม่มากว่าจะตายไปพร้อมกับความทุกข์หรือเปล่า
ดังนั้นเลิกปิดตา แล้วมองความจริง เอาความจริงมาว่ากันตรงๆ ดีกว่าเจ้าค่ะ แบบตรงไปตรงมา มันจะได้จบสิ้นการหลอกลวงเสียทีเจ้าค่ะ
ลูกรู้สึกว่าชีวิตนี้มันเหนื่อยมากเลย ไม่ใช่เหนื่อยอะไรหรอก เหนื่อยกับการพยายามปรุงแต่งเพื่อหลอกลวงตัวเองนี่แหละเจ้าค่ะ
นี่คือ สิ่งที่หลวงตาเมตตาชี้เตือนลูกมาตลอดใช่ไหมเจ้าคะ เหมือนกับเพิ่งเห็นสิ่งที่หลวงตาบอกวันนี้เองเจ้าค่ะ
ดีที่กลับใจตอนที่ยังไม่สาย ตอนที่ยังมีลมหายใจอยู่เจ้าค่ะ
หลวงตา : เพียงลืมตา (ตื่น) ขึ้นมายอมรับความจริงในปัจจุบัน ความจริง (สัจธรรม) ก็จะประจักษ์แก่ใจ ใจจึง “หยุด”!!!
***** เพราะหยุด (หยุดดิ้นรน) จึงสงบ (สงบความปรุงแต่ง)
เพราะสงบ (สงบความปรุงแต่ง - “เตสัง วูปะสะโม สุโข”) จึงนิพพาน
ปุจฉาวิสัชชนาธรรมเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2564