ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตาค่ะ
อยากจะเล่าสภาวธรรมกับหลวงตาค่ะ
ไปหาหลวงตาหลายรอบแต่ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง
เลยไม่ได้กราบเรียนค่ะ
ขอเล่าในแบบที่หนูเจอนะคะ
หนูปฏิบัติมาโดยเริ่มต้นเรียนรู้การทำงานเกิดดับของขันธ์มาเรื่อยๆ ค่ะ
ปฏิบัติจนจิตตัวที่ 3 ที่มันรู้เฉยๆ อ่ะค่ะ
แล้วก็เพียรมาเรื่อยๆ
ก็พิจารณากายด้วยการพิจารณาอสุภะ
และพิจารณาร่างกายแบบที่ตาเราเห็นความสกปรกค่ะ
หลังจากนั้นก็จ่อเข้าสู่จิตอย่างเดียวค่ะ
จนเห็นว่าจิตผู้รู้มันโดดเด่นมากๆ
แต่ว่าในจิตผู้รู้ มันมีสิ่งหนึ่งที่เป็นความรู้สึกว่าเป็นเราค่ะ
เหมือนฟองอากาศที่รู้เปล่าๆ เฉยๆ
ไม่มีรูปร่างตัวตน อยู่ข้างใน
แต่มีฟองอากาศอันนี้ห่อหุ้มไว้
แล้วจิตมันก็เข้าใจมาเรื่อยๆ ค่ะว่า
แม้กระทั่งจิตผู้รู้ที่เรายึดมานานมันก็ไม่ใช่เรา
แถมไม่มีตัวตน แล้วมันก็เกิดๆ ดับๆ อีกด้วยค่ะ
ไม่มีสาระอะไรเลย
แล้วจิตมันก็จ่อๆๆๆ ไม่หยุดพักซักที
เพียรมากไม่หลับไม่นอนค่ะ
แต่ว่ามันเหมือนหาจุดที่มันสมดุลไม่ได้
มันยึดยื้อ รั้งกันไปมา
อยู่ระยะหนึ่ง ก็หลายเดือนอยู่ค่ะ
หนูรู้สึกว่าการปฏิบัติธรรมมันเหนื่อยและทุกข์เหลือเกิน
ทุกข์เพราะไอ้จิตอันสุดท้ายนี่แหละ
ทำไมมันทุกข์ขนาดนี้ จ่อมันอยู่ได้
หนูก็เลยบอกตัวเองว่า
มันจะเกินไปแล้วนะ หนูจะพอละ เลิกปฏิบัติแล้ว
ทำแล้วมันทุกข์หนูจะเลิกทำแล้ว
ก็เลยมานั่งเฉยๆ สบายๆ กะว่าจะไม่นั่งสมาธิแล้ว
ปล่อยจิตมันตามเรื่องตามราวของมันเลยค่ะ
แล้วแต่มันจะเป็นค่ะ
จากนั้นมันเกิดสภาวะที่ไม่มีอะไรอ่ะค่ะ ดับหมดเลย
แล้วฟองอากาศที่มันเป็นความรู้สึกเป็นเราอ่ะค่ะ
มันก็แตกออกสลายรวมกับธรรมชาติเข้าเป็นสิ่งเดียวกัน
ความรู้สึกเป็นเรามันหายไปค่ะ
แล้วจิตที่มันเคยขยันมากๆ มันก็ไม่เพียรแล้วค่ะ
มันไม่พิจารณา ไม่จดจ่อกับจิตแล้ว
และสภาวะที่เกิดก็ไม่ได้มีการตั้งชื่อให้
ไม่ได้ให้ค่าว่ามันคืออะไรค่ะ
แต่จากนั้นก็ทบทวน ทวนสอบว่าที่ผ่านมาทั้งหมด
เราปฏิบัติอะไร มันเป็นยังไง พิจารณายังไงมาบ้าง
จิตมันก็เป็นอัตโนมัติตามธรรมชาติ
ด้วยความเข้าใจความเป็นธรรมชาติ
ของสรรพสิ่งที่มันเป็นอย่างนั้น
ไม่มีเราเข้าไปยุ่งมันก็เป็นธรรมชาติ
แบบที่มันเป็นตามความเป็นจริงอ่ะค่ะ
ไม่ได้มีทุกข์ ไม่ได้ดิ้นรนค้นหา
หรือจะทำอะไรไปเพื่ออะไร
แล้วก็ไม่ค่อยได้เล่ากับใครค่ะ
เมื่อมีอะไรมากระทบสติก็ค่อนข้างรวดเร็วมาก
ไม่มีปัญหากับการกระทบเท่าไหร่
เพราะมันก็ดับของมันไปเองค่ะ
มันก็เกิดมาแบบเก้อๆ ค่ะ
จากนั้นผ่านมาเกือบสองปีจนถึงเมื่อเดือนธันวา ปี 63
หนูถูกงูกะปะกัดค่ะ
ตอนที่กำลังเดินป่าไปภาวนาตอนกลางคืน
ครั้งนี้ ก็มีสภาวธรรมที่ชัดเจนมากๆ
คือตอนแรกหนูไม่รู้ว่าอะไรกัดค่ะ
จากนั้น ก็ก้มลงดูก็เลยรู้ว่างูกะปะกัด
แต่สติ สมาธิ มันอัตโนมัติ ปกติเหมือนเดิมค่ะ
แต่จิตมันก็คิดว่างูพิษกัด
มันก็อาจจะมีความเสี่ยงสูงที่เราอาจจะตาย
จากนั้นสภาวะตอนนั้นคือมันสงบ เงียบ
และสิ่งที่ชัดเจนคือไม่นึกถึงสิ่งใด
ไม่ต้องการที่พึ่งอะไรเลย ไม่คิดถึงใครทั้งสิ้น
พระพุทธเจ้า ครูบาอาจารย์ พ่อแม่ แฟน
ไม่มีในใจแม้แต่นิดเดียวค่ะ
และที่สำคัญคือ
มันไม่มีจิตที่จะไปข้างหน้า อยู่ตรงนี้
หรือถอยหลังกลับค่ะ รู้อย่างเดียวรู้ทุกอย่าง
แต่เป็นรู้ที่เนียนๆ กับอากาศ ไม่มีเป็นตัวตน
มันเนียนกับธรรมชาติเป็นอันเดียวกันจริงๆ ค่ะ
แล้วมันก็รู้สึกหมดสิ้นแล้วจริงๆ ค่ะ
เหมือนปลดหนี้ทุกสิ่งทุกอย่าง
ไม่ติดหนี้ใครอีกแล้ว และเบิกบานค่ะ
ส่วนข้างนอก หนูก็จัดการตามที่มันจะเป็น คือการปฐมพยาบาลตัวเอง (มีแฟนหนูและแม่ชีไปพร้อมกัน 4 คนแต่หนูโดนคนเดียวค่ะ)
จากนั้นก็ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลที่เต่างอย สกลนครค่ะ
ปล.ก่อนหน้านี้ หนูเคยกราบเรียนหลวงตา
แล้วหลวงตาบอกว่าให้ปล่อยวางตัวพูดตัวพากษ์
เพราะมันไม่ใช่เรา และไม่ต้องทำอะไร
ไม่ต้องหาใจเพราะมันไม่มีตัวตนค่ะ
หลวงตา : หยุด !!!
หยุดดิ้นรนทะยานอยาก
หยุดแสวงหา
หยุดพยายามทำอะไรให้เป็นอะไร
อยู่อย่างพุทธะ
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 19 มีนาคม 2564