ผู้ถาม : กราบค่ะหลวงตา ไม่ปล่อยหลุดเลยสักกะจิ๊ดนะค่ะ
“วาง” ค่ะ หลวงตา
แบบนี้ส่งการบ้านก็ไม่ได้แล้วสิคะ เพราะเป็นสังขาร หมดเลยไหมคะ หลวงตา
หลวงตา : เมื่อไหร่ ก็ตามที่ มีผู้.... + มีกริยา.... หรือ มีความรู้สึก....จึง = มีเราอยู่ในขณะนั้นเลย
ผู้ถาม : ต้อง “วาง” ให้ทันในขณะนั้นๆ แบบนี้นะคะ
อ๋อ ตอนนี้กับหลวงตาก็ต้อง “วาง” ด้วย
ทุกอย่างที่รู้ที่เห็น ต้องวางหมด ในขณะนั้นๆ
อ๋อ ค่ะ เพราะทุกอย่างที่รู้ที่เห็น ก็เป็นแค่ภาพมายา (ภาพลวงตา)
เหมือนประกายแดด เข้ามากระทบตา เพียงผ่านมาแล้วผ่านไป
รวมถึงผู้รู้ ผู้เห็น ผู้เข้าใจ ในขณะนี้ ก็เป็นแค่ หนึ่งประกายแดด ที่มาแล้วไป
หลวงตาถึงให้ “วาง” หมดเลย เพื่อไม่สร้าง “สังขาร” เพิ่มขึ้นอีก
หลวงตา : สังขาร หรือ ขันธ์ห้า ย่อมปรุงแต่งเกิดดับทั้งรูป นาม (เจตสิก) และ ผู้รู้ (วิญญาณขันธ์)
ส่วนวิสังขาร (ใจ) เป็นธาตุรู้ตามธรรมชาติ หรือ เรียกว่า “พุทธะ” ไม่เกิดดับ ไม่ปรากฏ ไม่ปรุงแต่ง ไม่ตาย เป็นอมตธาตุ
ได้ชื่อสมมติว่าตายแตกดับเฉพาะขันธ์ห้า
ส่วนใจหรือ “พุทธะ” เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมธาตุ หรือ ธรรมชาติที่ไม่ปรากฎ
จึงไม่มีตัวเราตาย
มีชีวิตที่เหลืออยู่ก่อนธาตุขันธ์จะแตกดับ ด้วยการทำประโยชน์ตนให้ถึงที่สุดแห่งทุกข์ (นิพพาน) และ ทำประโยชน์ท่านโดยชอบด้วยความไม่ประมาททุกเมื่อเถิด
ผู้ถาม : กราบในคำสอนนะคะหลวงตา นานมากแล้วค่ะ ที่ไม่ได้รับคำสอนยาวๆ จากหลวงตาค่ะ
กราบด้วยใจที่ระลึกรู้ในความเมตตา และความใส่ใจ คอยตักเตือนให้ไม่ประมาทมาโดยตลอดค่ะ
“จึงไม่มีตัวเราตาย”
กราบโอ๊ยๆ ค่ะ หลวงตาขา
การปฏิบัติธรรมจริงๆ ไม่ใช่ “เพื่อการรู้เข้าใจธรรม”
แต่เพื่อให้เห็นแจ้งว่า “ในทุกขณะปัจจุบัน สิ่งหนึ่งสิ่งใดเกิดสิ่งนั้นดับ”
และเพื่อแจ้งแก่ใจว่า “ที่สุดสิ่งทั้งหลายทั้งปวงไม่ควรยึดมั่นถือมั่น”
เพราะ “ไม่มีอะไร” เลย
กราบพระพุทธองค์พร้อมกราบขอบพระคุณหลวงตาอย่างเป็นที่สุดๆๆๆๆๆ เลยค่ะ
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2564