ผู้ถาม : กัณฑ์เทศน์ 181124A-1 พิจารณาให้เห็นความจริง ชี้แจงรายละเอียดการพิจารณาได้อย่างละเอียด ช่วยทำให้ลูกไม่ปัดเป๋ไปทางอื่นเจ้าค่ะ
อาการของปีติที่เกิดขึ้นก็ทำให้ลูกได้ใช้ประโยชน์จากอาการนี้คือการพิจารณาร่างกาย ลูกจะพิจารณาน้อมนึกติดเลย คือรูปกระดูกใบหน้าของตน และลูกก็จะดูทะลุเข้าไปในกระดูกกระโหลกศีรษะ คือ จะมีกระดูกเป็นแผ่น ๆ ติดกัน จากนั้นก็ทะลุเข้าไปเห็นชั้นโครงสร้างกระดูกเป็นใยสีขาว ก็จะมองทะลุลงไปอีก คือความมืดที่อยู่รอบ ๆ ใยขาว ๆ
และลูกก็เพิ่มคือมองกลับมาเป็นกระดูกและนำร่างนี้ไปเผา เผากลายเป็นขี้เถ้าและเศษกระดูก และกระดูกก็ค่อย ๆ ถูกลมพัดพากลายเป็นดินไป การน้อมมโนนึกอย่างนี้ไม่ต้องบีบเค้นมากเจ้าค่ะ คิดนึกถึงก็จะปรากฏภาพขึ้นมาทันทีเจ้าค่ะ
และบางครั้งก็จะน้อมนึกภาพเส้นผมบนศีรษะ ที่รากผมฝังลงไปบนหนังหัวมันจะมีภาพของต้นไม้ที่มีรากลงไปในดิน หนังศีรษะเราก็เปรียบเหมือนดิน รากลงมาก็จะมีเลือดฝอยแตกแขนง รอบผิวหนังมีชั้นไขมันก็เหมือนดินบนโลกที่แบ่งเป็นชั้น ๆ
ลึกลงไปก็มีเซลล์เม็ดเลือดแดง ก็เหมือนถุงน้ำที่มีสิ่งมีชีวิตเคลื่อนไหวในนั้น ลึกลงไปในเซลล์ก็จะเห็นการเปลี่ยนถ่ายของแร่ธาตุและน้ำ ลึกลงไปอีกก็จะมีอะตอม วิ่งวนรอบ ๆ เป็นความว่าง
แล้วก็มองย้อนกลับเป็นร่างกายแล้วก็ตายเผาเป็นเถ้าธุลีลอยในน้ำ ผงถูกเซาะไปรวมกับทรายบนชายหาด กลับคืนสู่ดิน
ในการน้อมแต่ละครั้งผู้รู้ก็เด่นชัดอยู่ตรงการพิจารณานั้น เห็นว่ามีการพิจารณาอยู่ ลูกก็ไม่ได้ไปเกาะเกี่ยวกับผู้รู้เจ้าค่ะ ให้ผู้รู้ก็รู้อยู่ตรงนั้น ก็เกิดความซู่ซ่าซาบซ่ารอบตัวตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า และจากทึ่ฟังกัณฑ์เทศน์นี้ถึงเข้าใจว่า อาการนี้คือสมาธิระดับฌาน ทำให้การพิจารณาทำได้ง่ายและต่อเนื่องได้
ความเข้าใจของลูกถูกใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา ขอโอกาสพ่อแม่ครูอาจารย์โปรดเมตตาชี้แนะลูกด้วยเจ้าค่ะ
หลวงตา : สงบได้เท่าใด ก็พิจารณาต่อทันที ไม่ต้องสนใจว่าจะเป็นฌานหรือไม่ ให้พิจารณาร่างกายตนให้เห็นอสุภกรรมฐาน มรณานุสติอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2562