ผู้ถาม : มันยังมีงอแง มีอารมณ์เหมือนเดิม แต่มันไม่เหมือนเดิมเจ้าค่ะ
เหมือนมันไม่ได้แยกเป็นอารมณ์ออกไป เหมือนเมื่อก่อนมันจะเป็นอารมณ์และผู้รู้อารมณ์
แต่อันนี้ มันเป็นสิ่งนั้นทั้งหมด อยู่กับตัวเราเลย
มันรวมด้วยกัน เศร้าก็เศร้า ร้องไห้ก็ร้อง ไม่ชอบก็ไม่ชอบ มันไม่อาจผลักไส หรือไม่อาจดูดเข้า เพราะมันเป็นหนึ่งเดียวกัน
แต่มันมีรู้ รวมอยู่ในนั้นด้วย อะไรเกิดมันก็ห้ามไม่ได้ ผลักไม่ได้ ดูดไม่ได้ ผลักไม่ได้ เพราะคือตัวเราทั้งตัว
ไม่มีตัวจิตออกมาให้ดูอะไรเลย
หลวงตา : อาการทั้งหมดนั้น เป็นสังขารปรุงแต่งทั้งนั้น
มันก็เกิด ดับเอง… เกิดเอง ดับเอง..... อย่างเก้อ ๆ ของมันทุกปัจจุบันขณะ
ไม่มีใครไปอะไร… อะไรกับมัน
และ
ไม่มีตัวตนของผู้รู้ “สังขาร”
และ
ไม่มีกริยาจิตไปรู้สังขารเหล่านั้น ด้วย
ส่วน “ธาตุรู้” มันก็เป็นธรรมชาติไม่มีตัวตน ไม่มีที่ตั้ง ไม่ปรุงแต่ง ไม่ปรากฏการเกิดดับ ซึ่งตามธรรมดามันก็เป็นปกติธรรมชาติของมันอย่างนั้น เพียงแต่ขณะที่ยังมีความเห็นผิดจากสัจธรรมความจริง ซึ่งเป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็จะเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือ กิเลสมาบังจิต หรือ ใจ หรือ ธาตุรู้
เมื่อเกิดสัมมาทิฏฐิ มีความเห็นชอบ เห็นจริง และยอมรับตามความเป็นจริงตามสัจธรรมแล้ว ก็สิ้นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน หรือ สิ้นกิเลส เหมือนเมฆที่มาบังพระอาทิตย์หรือพระจันทร์ ซึ่งเปรียบเหมือนจิต ใจ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ ก็ถูกเปิดเผยออกมาเอง
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 13 กันยายน 2562