ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาครับ ผมมีอีกความเรื่องหนึ่ง ที่ทำให้เข้าใจธรรม อ้างอิง ที่หลวงตากรุณาเขียนอธิบายเพิ่มมา
------------------------------------------------
หลวงตา : เมื่อโยมเห็นว่า ”เรามาจากความคิดของสมอง”
ดังนั้น “เรา ตัวเรา ของเรา” รวมทั้งความคิดว่า “เรามีจริง (เรามีอยู่) แต่ไม่ใช่ของจริง และ ความคิดว่า ‘เราไม่มีอยู่จริง’ ก็มาจากความคิดของสมอง”
ทั้งสมอง และ ความคิด เป็นสังขารปรุงแต่ง ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จึงไม่ใช่ตัวตนคงที่ เป็นทุกข์ ทนอยู่สภาพเดิมไม่ได้ อย่าหลงยึดมั่นถือมั่นว่า เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
ถ้าโยมรู้เห็นจากใจจริง ๆ ในปัจจุบันขณะ ว่า ความเห็น ความคิด นึก ตรึกตรอง ความปรุงแต่ง ความรู้ ความเข้าใจ ความเพ่งพิจารณา ความรู้แจ้ง ความรู้สึก..... ว่า เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา เป็นเพียงสังขารปรุงแต่งมาจากสมอง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะสิ้นหลงยึดมั่นถือมั่น
แล้วจะเป็นปัจจัตตัง รู้แก่ใจว่า บัดนี้สิ้นผู้เสวย สิ้นผู้กินอาการ หรือ สิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น แล้ว
เมื่อสิ้นผู้ยึดมั่นถือมั่น ก็รู้ว่าสิ้นกิเลส พ้นทุกข์ (นิพพาน)
พระอริยเจ้า ท่านอยู่กับรู้นี้
------------------------------------------------
ท่อนนี้ครับ
"ความรู้สึก..... ว่า เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา เป็นเพียงสังขารปรุงแต่งมาจากสมอง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ก็จะสิ้นหลงยึดมั่นถือมั่น"
.... ความรู้สึกว่า เรา เป็นเพียงสังขาร ปรุงแต่งจากสมอง ....
แล้ว "เขา" (บุคคลอื่น - รูปธรรม หรือ เขา - นามธรรม ที่ตรงข้ามกับเรา) มีจริงไหม ?
เมตตาผู้อื่น เมตตาเขา คือ เมตตาใคร/อะไร
ถ้า "เขาไม่มี" ก็ไม่ต้องเมตตา
หลวงตา : แสดงว่าไม่เข้าใจในสมมติ กับ วิมุตติ
ใช้สมมติ หรือ สมมติมีไว้ให้ใช้
แต่ไม่มีผู้ติด ผู้ยึด เป็นวิมุตติ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 28 ตุลาคม 2562