ผู้ถาม : อยากทราบว่าเวลาถ้าเรามีเรื่องฝังใจอะไรในอดีต มันก็ดีขึ้นมากแล้วจนบางทีมันก็ผ่านไป ก็ไม่ได้มีอะไร
แต่ว่าบางครั้งเวลามีเรื่องราวอะไร ที่มันมีความเชื่อมโยงกัน
แล้วพอเรานึกถึง มันทำให้เรามีความรู้สึกเสียใจ กลับมาเสียใจอีกแล้ว หรือว่าเราเหมือนมีเจือปนความโกรธอยู่ในนั้น
เหมือนเราข้ามผ่านไปไม่ได้ในบางครั้ง
อยากทราบว่าจะทำยังไงให้เราให้อภัยใครสักคนหนึ่งได้แบบหมดหัวใจ … ?
หลวงตา : มันทุกข์มั้ยเล่า ก็มาแบกไว้ในใจ ให้อภัยเค้าไม่ได้ มันทุกข์มั้ยเล่า…?
แล้วที่เราให้อภัยเค้าไม่ได้ เค้าก็นอนหลับหัวเราะสบาย แต่เราเอาเค้ามายึดไว้ในใจเป็นทุกข์มากเลยให้อภัยไม่ได้
"เรายึดเองทุกข์เอง" ยึดจนเป็นทุกข์ แต่เค้านอนหลับสบาย บางทีเค้าไปมีใหม่ เค้าไปมีความสุขสบายกับคนใหม่
แต่เราไปยึด อภัยเค้าไม่ได้ ยึดถือเค้าจนเป็นทุกข์น้ำตาไหลเข้าไหลออกอยู่นั่นแหละ
คนเราทุกคนมันมีเหตุปัจจัย ไม่มีหรอกเหตุบังเอิญในโลก บุญกุศลทำมากันแค่นั้นมันก็จบลงเพียงแค่นั้นแหละ ส่วนทำบุญกุศลต่อกันมาตลอดมันก็ไม่จบลง เป็นคู่ชีวิตกันจนตายไป
แต่ยังไงก็ตามก็ต้องจากกันไปอยู่ดี ไม่จากเป็นก็ต้องจากตาย
*** แต่ความยึดถือสิมันเป็นทุกข์
เป็นทุกข์ทั้งภพนี้และภพชาติต่อ ๆ ไป ***
มันไม่มีเหตุบังเอิญใด ๆ ในโลก
เมื่อทุกอย่างมันหมดเหตุปัจจัยกันแค่นี้ มันก็ต้องจบไป
*** มันต้องจบที่ใจ ไม่เอาสิ่งใดมายึดถือไว้ในใจ
ความทุกข์มันก็ไม่มี ***
เห็นโทษของ "ความยึดถือ"
ยึดจนเป็นทุกข์ ยึดจนเป็นทุกข์จริง ๆ
เห็นโทษของความยึดถือ แล้วมันก็จะไม่เข้าไปยึดถือสิ่งใด
ให้เป็นทุกข์
คนเราทั้งหลายเนี่ย ถ้ายึดถือมากไว้อย่างนี้บอกให้ปล่อยวางมันก็ไม่ได้ปล่อยวางได้หรอก เพราะว่าเค้ายังไม่รู้สึกว่าหนัก
แต่ถ้ารู้สึกว่ามันยึดถือจนหนักไม่ไหวแล้ว
สุดท้ายมันก็ต้องปล่อยวางเอง
เคยมีเรื่องอยู่เรื่องหนึ่ง เราก็ไม่รู้ว่าจริงเท็จแค่ไหน
เค้าบอกว่ามีผู้ชายคนหนึ่งทุกข์มากเลยกับภรรยาเค้าที่อยู่ด้วยกันมาสามเดือน ไปมีคนใหม่
เค้าทุกข์จนกินไม่ได้นอนไม่หลับจนซูบผอม
นอนซมจนจะถึงแก่ความตาย ... ผ่ายผอม
วันหนึ่งก็มีพระภิกษุสงฆ์ เป็นพระอริยะสงฆ์องค์หนึ่งมายืนที่หน้าบ้านขอบิณฑบาต เค้าก็ไม่มีอะไรที่จะใส่บาตร
ไม่ใส่บาตรไม่มีอะไรที่จะใส่บาตรและไม่พร้อมที่จะใส่บาตร
พระภิกษุสงฆ์พระอริยะสงฆ์ท่านก็ ".... นี่แหละจะมาบิณฑบาตเรื่องในหัวใจโยมนี่แหละ…"
แล้วท่านก็ให้เค้าดูในขันน้ำมนต์
แล้วดูสิว่าเห็นอะไรบ้างในขันน้ำมนต์
เค้าก็เห็นว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งนอนตายเปลือยอยู่
แล้วก็มีผู้ชายคนหนึ่งเดินผ่านมาเห็นผู้หญิงนอนตายเปลือย
เห็นว่ามันอุจาดก็เลยถอดเสื้อของเค้า 'เสื้อคลุม' เอาคลุมร่างผู้หญิงแล้วก็เดินผ่านไป
ต่อมาก็มีผู้ชายอีกคนหนึ่งเดินมา
แล้วก็เห็นผู้หญิงคนเนี้ยนอนตายอยู่ ก็เลยเวทนา
ก็เลยขุดหลุมพยายามขุดหลุม หาเอาไม้อะไรมาก็ได้พยายามขุดหลุมให้มันกว้าง ไม่ให้อุจาดแล้วก็กลบฝังผู้หญิงคนนี้
แล้วภาพก็เปลี่ยนไปว่า ผู้ชายที่ถอดเสื้อคลุมให้ศพผู้หญิงคนเนี้ย
คือ 'ตัวเขา' ในชาตินี้
ส่วนผู้ชายที่ขุดหลุมฝังศพกลบอย่างดีให้แก่ศพผู้หญิงคนเนี้ย
ก็คือ ผู้ชายคนใหม่
เค้ากับผู้หญิงคนนี้ ศพนั้นผู้หญิงคนนั้น ก็คือ เกิดมาเป็นภรรยาเค้าสามเดือน เพราะเขาแค่ถอดเสื้อคลุม คลุมร่างให้แก่ผู้หญิงคนนั้น
แต่ผู้ชายคนใหม่ที่ตามมาข้างหลังได้ฝังผู้หญิงคนนั้นด้วยความทุกข์ยากลำบาก เพราะฉะนั้นผู้หญิงคนนั้นหมดสามเดือนแล้ว
เค้าจึงไปอยู่กับผู้ชายคนใหม่
ทุกอย่างมันมี "เหตุปัจจัย" ของมัน
ไม่มีเหตุอะไรบังเอิญในโลก
อย่าไป "ยึดติดยึดถือ" กับอะไรเลย
อดีต … มันผันผ่าน ต้องผ่านไป อย่ามายึดถือไว้ให้เป็นทุกข์
ปัจจุบัน … ก็ต้องผ่านไปเป็นอดีต และก็ผ่านไป
อนาคต … ก็ต้องผ่านมาเป็นปัจจุบัน แล้วก็ต้องผ่านไป
ทั้ง อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ต้องผ่านเลยไป
ให้มันผ่านเลยไป … ผ่านเลยไป … ผ่านเลยไป
อย่าไปยึดถือสิ่งใดไว้ ความทุกข์มันก็ไม่มี
สุดท้ายมันก็นอนตายตาหลับ
เพราะไม่มีเรื่องใดทั้งอดีต ทั้งปัจจุบัน และอนาคต
มาจับมายึดมาถือไว้ในใจ
ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป
เหมือนดุจลมพัดผ่านไปในอากาศ … ความทุกข์ก็ไม่มี
ความจริงมันก็เป็นเช่นนี้
เราอยากจะยึดถือไว้แต่ก็ยึดถือไม่ได้เห็นมั้ย …?
อยากจะยึดถือให้ตายแต่มันก็ยึดถือไม่ได้
ทุกอย่างผ่านมา .... แล้วก็ต้องผ่านไป
อยากจะยึดถือเค้าเอาไว้ให้ได้ ก็ยึดถือเค้าเอาไว้ไม่ได้
ผ่านมาแล้วก็ต้องผ่านไป
ไม่จากเป็นก็ต้องจากตาย
ไม่มีอะไรที่จีรังยั่งยืน ที่จะยึดถือไว้ได้ตลอดไป
ถ้าพิจารณาตรงนี้ไม่ตกจะเป็นทุกข์มากเลย มันจะมาแบกมายึดถือไว้ในใจให้เป็นทุกข์
พิจารณาให้ดีนะ
หลวงตาณรงค์ศักดิ์ ขีณาลโย
ที่มา : ส่วนหนึ่งจากวีดีโอ "190518B-5 อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ล้วนผ่านมาแล้วผ่านไป"
แสดงธรรม ณ ยุวพุทธิกสมาคมแห่งประเทศไทย วันที่ 18 พฤษภาคม 2562