ผู้ถาม : หลวงตาคะ วันนี้โยมฟังคลิปเรื่องรู้โดยไม่คิด ที่หลวงตาบอกว่า มีสามกาย .. กายเนื้อ กายจิต มีรู้ .. จริง ๆ แล้วสามสิ่งนี้มันอยู่ด้วยกัน แต่ทำหน้าที่ใครหน้าที่มัน กายเนื้อก็ทำหน้าที่มันไป กายจิตมันก็พูดพร่ำบ่นหรือภาวนาของมันไป รู้มันก็ได้แต่รู้ ... โยมเห็นมันชัดเจนมากจริง ๆ ค่ะ และเป็นมานาน แต่อย่างที่หลวงตาบอก ไม่ต้องพยายามทำอะไรให้เป็นอะไร มันเป็นเอง .... แต่กว่าจะมาถึงขั้นนี้ก็ภาวนามาเยอะเหมือนกันค่ะ
แต่ภาวนาของโยมคือไม่ได้มานั่งหลับตาสวดมนต์ภาวนานะคะ โยมปั่นจักรยานและภาวนาไปด้วย ทำงานก็ภาวนาไปด้วย กายเนื้อมันทำงานไป จิตมันก็ภาวนา และก็รู้ไป แค่นั้น... แต่ถ้ากายเนื้อมันอยากพักแบบมาก ๆ มันทิ้งกายเนื้อ เหลือแต่รู้ที่มันรู้ว่า กายมันง่วงหลับ แต่ก็ดันรู้ว่า หลับท่าไหน เอนเอียงยังไง แต่มันรู้ข้างในแบบไม่ใส่ใจ
โยมสงสัยว่า มันอยู่ในฌานด้วยหรือไม่ คือ ถ้าลำดับฌาน มันก็นับไม่ถูกคือ มันไม่สนใจลมไม่สนใจกาย แต่มันก็ไม่ได้รวมนิ่งเหมือนฌาน 4 ไม่ได้มีปีติ สุข อุเบกขา นิ่ง เฉย ก็ไม่ใช่ พอกายเนื้อมันหลับอิ่ม ก็มารู้สึกที่กายเนื้อแบบรู้สึกทั้งตัวอีกที.. ตอนนี้มาครบทั้งสามกาย คือ กายเนื้อ กายจิต และรู้.... ธรรมชาติของสามกายเป็นเช่นนี้เองใช่ไหมคะ ฟังจากคลิปหลวงตาว่า พระอริยเจ้าอยู่กับรู้นั้น
หลวงตา : รู้ที่สงสัยอย่างนั้น สงสัยอย่างนี้ เป็นจิตตสังขารปรุงแต่ง
ผู้ถาม : ค่ะ หลวงตา รู้ที่สงสัยเป็นจิตตสังขาร ที่ไม่สงสัยเป็นวิสังขาร แต่ตอนที่รู้แบบสามกายนั้น มันไม่ได้สงสัยอะไรในขณะนั้น ไม่ได้ทำอะไรให้เป็นอะไร มันเป็นของมันเอง แต่เท่าที่สังเกตว่า ณ ขณะนั้น อดีตไม่มี อนาคตไม่คิดถึง มันรู้แค่เฉพาะหน้าขณะนั้น หรือ ถ้าจิตมันภาวนา มีอะไรแทรกขึ้นมา คือสังขารอีกตัวเกิดแทรกขึ้นมา มันก็รู้แล้วมันก็ดับไปเอง แล้วแค่รู้ ... และมันไม่ติด .... แต่ไม่ใช่จะไม่ติดต่อเนื่องตลอด มันติดต่อเนื่องก็มี แต่มันหายไว .. มันเร็ว.. แต่รู้ที่ไม่คิด ... โยมว่ามันไม่ได้วิเศษหรือพิสดารอะไร มันแบบ รู้ซื่อ ๆ เก้อ ๆ ทำอะไรก็ไม่ได้ แต่มันมีแบบนี้จริง ๆ
หลวงตา : พิจารณาให้ดี ๆ ยังหลงยึดถือ “ผู้รู้” นั้น เป็นเรา เป็นตัวเรา หรือ เราเป็นผู้รู้
สังเกตพิจารณาจนรู้เห็นแจ้งประจักษ์พยานแก่ใจของเจ้าของว่า แอบมีความรู้สึกเป็นเรา ตัวเรา ของเรา ผสมปนอยู่ในธาตุรู้ หรือ ธรรมธาตุ
จึงไม่ใช่เป็นธาตุรู้ หรือ ธรรมธาตุที่บริสุทธิ์ตามธรรมชาติ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2562