ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาเจ้าค่ะ ไฟล์ที่หลวงตาส่งมานี้ "ธรรมทั้งหมดไม่ควรยึดมั่นถือมั่น" หนูฟังแล้ว ใจก็บอกว่า "สงสัยก็เอา ไม่สงสัยก็เอา" มันเป็นสังขารทั้งนั้น แต่สังขารนี้มันสงสัยอยู่เจ้าค่ะหลวงตา
ที่พระพุทธองค์ทรงสอนท่านพาหิยะคือให้ "สักแต่ว่า" ถ้าเธอเห็น เธอได้ยิน เธอรู้แจ้งอะไรก็ให้ "สักแต่ว่า"... นี้แลเป็นที่สุดแห่งทุกข์ฯ
แต่ในไฟล์หลวงตาที่สอนคุณหมอ เหมือนกับว่ามันต้องแยกเป็น 2 ส่วน คือระดับมากกับน้อย คือถ้ารับรู้อะไรแล้วไม่พอใจหรือไม่ชอบน้อย ให้เห็นทุกอย่างเป็นธรรมชาติ ว่ามันเป็นสังขาร แต่ด้วยสติปัญญาก็ให้หาวิธีที่จะแก้ไขปัญหานั้น เช่น อากาศร้อนก็อยู่ในห้องแอร์หรือใต้ต้นไม้ เห็นสิ่งที่ไม่น่าดูก็ให้หลีกเลี่ยง หรือถ้าไม่พอใจมาก เช่น โกรธมาก ก็ให้หากิจกรรมอื่นทำ เฉไฉไป แบบนี้เรียกว่ารับรู้อย่างที่มันเป็นตามธรรมชาติ แล้วให้ใช้สติปัญญาแก้ไขปัญหา ที่จะรู้จะเห็นทุกอย่างอย่างที่มันเป็น คือดูจิตดูใจได้ก็เฉพาะตอนที่อยู่เงียบ ๆ คนเดียวเท่านั้นหรือเจ้าคะ
จริง ๆ แล้วทุกสิ่งทุกอย่างมันก็เป็นแค่สังขารกับวิสังขาร ซึ่งเราต้องปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นของมันเองตลอดเวลาเลยไม่ใช่หรือเจ้าคะหลวงตา แค่รู้แค่เห็น ไม่มีเรา ไม่มีสิทธิ์ที่จะเข้าไปแทรกแซงหรือรักษาใจ ที่หลวงตาสอนว่าไม่ต้องพยายามไปช่วยใจ ไม่ต้องไปพยายามรักษาใจ ปล่อยให้ทุกอย่างเขาเกิดเอง ดับเอง อย่างที่พระอรหันต์ท่านก็อยู่กับรู้ รู้ทุกอย่างแต่ไม่เอาสักอย่าง
ส่วนนี้คือที่สังขารหนูมันยังสงสัยอยู่เจ้าค่ะหลวงตา หรือที่หลวงตาพูดในไฟล์นั้น เป็น "มรรค" สำหรับผู้ที่กำลังพากเพียรเพื่อหลุดพ้น เพื่อพ้นทุกข์ เพื่อให้เกิด "ผล" เจ้าคะ ขอหลวงตาโปรดเมตตาด้วยเจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ
หลวงตา : ไม่ยึดถือ ไม่ปรุงแต่ง ไม่ปรารถนาอะไร แล้วใครจะเอาความรู้ ความสงสัย ความเข้าใจ ไปให้ใคร
ถ้ามีผู้รอรับผลประโยชน์ ก็จะเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทาน .. ภพ ชาติ .. ทุกข์ ทันที
ผู้ถาม : เจ้าค่ะหลวงตา ถ้าหนูจะบอกหลวงตาว่า มันยังมีความอยากรู้อยู่ หลวงตาก็จะต้องตอบว่า ต้องอยู่กับปัจจุบัน รู้ปัจจุบันและนิพพานในปัจจุบันด้วยใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา สงสัยก็สงสัยไปใช่ไหมเจ้าคะ มันเป็นหน้าที่ของสังขาร ต้องเพียรเองแล้วจะรู้เองใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา
หลวงตา : มันมี “อวิชชา” ซ่อนเร้นอยู่ในใจ คือ หลงยึดถือขันธ์ห้าว่า เป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเรา แล้ว หลงเอาสังขารมาคิดปรุงแต่งสงสัย ดิ้นรน ค้นหานิพพานมาให้ตัวเรา
มันเลยมีแต่เรา .. ตัวเรา ... ของเรา … วนเวียนหาหนทางให้ตัวเราหลุดพ้นจากทุกข์ หรือ ให้ตัวเราบรรลุนิพพาน
ธรรมชาติมีแค่สองอย่าง ได้แก่
“สังขาร” คือ สิ่งปรุงแต่ง เช่น คิด นึก ตรึกตรอง สงสัย ดิ้นรน ค้นหา พยายาม … ฯลฯ ซึ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่เรา ตัวเรา ของเรา
กับ
“วิสังขาร” คือ ธรรมชาติที่ไม่อาจปรุงแต่งเกิดดับได้ ไม่มีตัวตน ไม่มีอะไรปรากฏ จึงไม่มีอะไรเป็นตัวเป็นตน เป็นเรา ตัวเรา ของเรา
ธรรมชาติทั้งสังขาร และ วิสังขาร เขาเป็นธรรมชาติของเขาอย่างนั้นเอง ไม่ได้เป็นเรา ตัวเรา หรือ ของเราสักน้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่งเลย
เพียงแต่เราหลงเอาขันธ์ห้า ซึ่งเป็นสังขาร มาคิดปรุงแต่งยึดถือเป็นเรา ตัวเรา ของเรา แล้ว หลงเอาสังขารมาคิดปรุงแต่งสงสัย ดิ้นรน ค้นหา พยายามทุกอย่างเพื่อตัวเรา จึงหลงอยู่ในอวิชชา ตัณหา อุปาทาน .. ภพ ชาติ .. ทุกข์ โศก เศร้า เสียใจ คับแค้นใจ ไม่สบายใจ ซึ่งเป็นวงจรปฏิจจสมุปบาท
ถ้ามีสติ ปัญญา รู้เห็นความเป็นจริงของธรรมชาติของสังขาร กับ วิสังขาร ดังกล่าว โดยไม่หลงเป็นสังขารคิดปรุงแต่งยึดถือขันธ์ห้า หรือ ยึดถือ วิสังขาร ว่าเป็นเรา ตัวเรา ของเรา ก็จะไม่หลงมีตัวเราไปยึดถือสิ่งใดให้เป็นความอยาก เป็นกิเลส เป็นความทุกข์เดือดร้อน
ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ ใช่เลยเจ้าค่ะหลวงตา หนูไม่เท่าทันกิเลส ยังมีอวิชชา มีตัวเราอยากรู้ อยากเข้าใจ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็เป็นแค่สังขาร เดี๋ยวมันก็เกิดก็ดับ วนเวียนอยู่อย่างนี้เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ ที่ช่วยเมตตาเตือนสติหนู ให้เห็นว่ายังมีอวิชชาที่ซ่อนเร้นอยู่ในใจเจ้าค่ะ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2562