ผู้ถาม : เช้านี้ มันเห็นความจริงแล้วเจ้าค่ะ ว่ามันไม่ได้มีตัวตนของเราจริง ๆ ที่คงที่เลย พอเราตกกระทบสิ่งแวดล้อมอย่างหนึ่ง มันก็เหมือนมีตัวเราแบบหนึ่ง พอสัมผัสธรรม ปฏิบัติธรรม กลับเป็นตัวเราอีกแบบ ที่แทบจะสงบจนจะออกจากโลกไปเลย และมันมีแต่สงบมากขึ้น ๆ เห็นธรรมยิ่งขึ้น ๆ
แต่แท้ที่จริง ตัวตนทั้งสอง มันก็ไม่ใช่ตัวเราที่แท้เลยจริง ๆ สิ่งที่กวัดแกว่งไปมาระหว่างการปรุงแต่งไปเป็นภพชาติในใจ กับไม่ปรุงแต่งราวกับสิ้นภพชาตินั้น เป็นสภาวะที่เกิดขึ้นจริงในแต่ละขณะ
แต่เมื่อพิจารณาดี ๆ ด้วยสติปัญญาที่ตั้งมั่นอยู่ในความสงบ จะพบว่า ทั้งสองสิ่ง ที่เหมือนเป็นเราที่สลับขั้ว กลับไม่มีสิ่งใดเลยที่เป็นตัวเราคงที่จริง ๆ จัง ๆ
ถ้าขาดสติปัญญา เผลอไปยึด นั่นก็คือ ทุกข์แล้ว พอทุกข์ สติปัญญา มันจะทำงานโดยอัตโนมัติ สู่วงจรของการเห็นธรรม เดินอริยสัจ จนหลุดออกจากทุกข์
แต่ด้วยสติปัญญา ยังไม่เห็นว่าตัวตนของผู้เห็นธรรมและผู้ปฏิบัติก็ล้วนไม่เที่ยง มันเลยวนกลับไปเป็นการแก่งไกวรอบใหม่เจ้าค่ะ
ตอนนี้ เห็นแล้ว เข้าใจแล้ว หลุดแล้ว จากการมีตัวตนคงที่เจ้าค่ะ กราบขอบพระคุณหลวงตาเจ้าค่ะ
หลวงตา : ปล่อยวางผู้เห็นแล้ว ผู้เข้าใจแล้ว ผู้หลุดแล้วจากการมีตัวตนคงที่ เพราะไปหลงยึดถือผู้เห็นแล้ว ผู้เข้าใจแล้ว ผู้หลุดแล้ว เป็นตัวตนของเรา เป็นเรา โดยในใจลึก ๆ … มีความรู้สึกว่าเรารู้แล้ว เราเห็นแล้ว เราเข้าใจแล้ว เราหลุดแล้ว .....
และจะหลงปรุงแต่งว่า .... แต่เรายังไม่นิพพาน เราจะต้องพยายามให้เราถึงนิพพาน เราจะได้บรรลุนิพพาน ซึ่งมันจะเป็น “อวิชชา” และจะเป็นความฟุ้งซ่าน ซึ่งเป็นสังโยชน์
จะต้องมีสติ ปัญญารู้เท่าทัน
ไม่หลงไปอยู่กับสังขารซึ่งเป็นธรรมชาติปรุงแต่ง เกิดดับ
***** ให้อยู่กับใจ ซึ่งเป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปลักษณ์
เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม มหาสุญญตาธาตุ นิพพานธาตุ อมตธาตุ อมตธรรม
ซึ่งไม่ใช่ผู้รู้ แต่เหนือผู้รู้ขึ้นไปจนไม่มีที่หมาย
ไม่มีผู้ยึดถือใจได้
ผู้ยึดถือใจ เป็น “อวิชชา”
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2562