ผู้ถาม : ขอความเมตตาหลวงตาชี้แนะ บทของเรื่อง “คุกแห่งสังสารวัฏฏ์” ค่ะ
ประกาศ : คุกแห่งนี้เราจะไม่มีกำหนดเวลาว่าใครจะอยู่ยาวนาน หรือ สั้นเพียงใด นักโทษสามารถเลือกได้ด้วยตนเอง เพียงแต่มีเงื่อนไขสั้น ๆ ว่า ...
ทุกคนสามารถอยู่ได้นานตราบเท่าที่ต้องการ แต่หากวันใดไม่ต้องการจะอยู่ในคุกนี้ ขอความเป็นอิสระ ประตูคุกจะเปิดออกได้มีเพียงกรณีเดียว คือ คน ๆ นั้นจะต้องสอบผ่านคำถาม ซึ่งมีทั้งหมด 4 ข้อ โดยไม่มีผิดแม้แต่ข้อเดียว ทุกคนสามารถใช้ความรู้ ความเข้าใจ ความเพียรทั้งหมดที่มี เหมือนกับการไต่เขาที่ขึ้นให้สูงที่สุด ทุ่มเทจนสุดกำลังเพื่อให้ประตูคุกเปิดออก
และทุกคนที่นี่ไม่สามารถพูดโกหกได้ เพราะ “จิต” ไม่เคยกล่าวเท็จ เรียกว่า “ปากกับใจตรงกัน” ในที่นี้จึงไม่มีการกล่าวมุสา และประตูนี้ไม่มีผู้ควบคุมเปิดปิด แต่นักโทษคนใดที่ยังมีความทุกข์ในใจ ยังรู้สึกมีความกังวลและหลงวุ่นวายไปกับโลก ประตูก็จะยังคงปิดสนิท และเค้าคนนั้นก็จะไม่สามารถสอบผ่านข้อสอบทั้ง 4 ข้อนี้ได้ จึงจำเป็นต้องอยู่ในคุกต่อไป ทุกคนไม่มีสิทธิอยู่เหนือกฎเกณฑ์นี้ แม้ตัวข้าเองก็อยู่ภายใต้กฎเกณฑ์นี้เช่นกัน
นักโทษชายเบอร์หนึ่ง : กระผมอยู่ในนี้มายาวนานมาก เท่าที่จำได้ไม่น่าต่ำกว่าแสนปี ตอนนี้เบื่อหน่ายที่นี่เหลือเกิน ขอทำการทดสอบเพื่อเปิดประตู
ผู้คุม : ถ้าเจ้าเบื่อหน่ายจริงอย่างที่ปากว่า ข้าก็หวังว่าเจ้าจะเปิดประตูได้สำเร็จ
คำถามข้อแรก :
สิ่งภายนอกทั้งหมด ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส เขาก็เป็นธรรมชาติธรรมดาของเขาอย่างนั้น
ย่อมแตกต่างกัน เปลี่ยนแปลง ไม่แน่นอน แต่ก็ไม่ได้ทำให้ทุกข์ใจ
ซึ่งพระพุทธเจ้า ก็มีพระราชบิดา ภรรยา บุตร ญาติ ข้าทาสบริวาร ทรัพย์สมบัติมากมาย
หลังจากตรัสรู้แล้ว กลับไปหาคนและสิ่งเหล่านั้นในพระราชวัง แต่ทำไมคนและสิ่งเหล่านั้น ไม่ทำให้พระองค์เป็นทุกข์
แสดงว่า สิ่งใด ๆ ภายนอกทั้งหมด ไม่ได้เป็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์
นักโทษชายเบอร์หนึ่ง: ทำไมกระผมไม่รู้สึกเช่นนั้น ทุกครั้งที่คนในครอบครัวพูดจาปราศรัยดีต่อกัน มันทำให้กระผมมีความสุขยิ่งนัก แต่มันไม่เป็นเช่นนั้นเสมอไป บางคราวมีเสียงทะเลาะเบาะแว้ง มันบีบคั้นใจเกล้ากระผมให้แทบแทรกแผ่นดินหนี เหมือนดั่งไฟไหม้ไปทั้งเรือน จะบอกว่า … สิ่งใด ๆ ภายนอกทั้งหมด ไม่ได้เป็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ได้เช่นไร
ผู้คุม : เจ้าไม่ผ่านคำถามข้อแรก กลับเข้าไปยังโลกของเจ้า
นักโทษชายเบอร์สอง : กระผมพร้อมที่จะเปิดประตู กระผมเข้าใจจริง ๆ ว่า … สิ่งภายนอกเหล่านั้น ไม่ได้เป็นเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ คนอื่นเค้าจะเป็นยังไงเราจะไปทำอะไรเค้าได้ แม้ทรัพย์สินเล่ามันก็หมุนเวียนเปลี่ยนมือไปมา กระผมก็เห็นอยู่ กระผมจึงไม่เคยทุกข์ว่ามันจะอยู่หรือมันจะไป กระผมขอคำถามข้อต่อไป
คำถามข้อที่สอง
ร่างกาย ;
พระพุทธเจ้าก็มีร่างกายเหมือนพวกเราทุกคน แม้ร่างกายของพระองค์จะเจ็บป่วย จะสิ้นพระชนม์ ก็ไม่ได้ทำให้พระองค์เป็นทุกข์ แสดงว่าร่างกายไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
นักโทษชายเบอร์สอง : พระพุทธองค์ทรงพระปัญญาอย่างถึงที่สุด เกล้ากระผมเห็นจริงอย่างที่พระองค์กล่าว ด้วยว่า ตั้งแต่เด็กมากระผมป่วยกระเสาะกระแสะมาโดยตลอด ไม่ได้อยากป่วย ถึงคราวธาตุมันจะกำเริบ ถึงคราวธาตุมันจะพิการไม่สมดุล มันไม่อยู่ในบังคับบัญชา
กระผมเห็นจริงว่า … ร่างกายนี้จะดูแลดีเท่าไหร่ก็ตามก็คงเสื่อมถอยลง พอกระผมเข้าใจและยอมรับ กระผมก็ไม่ได้ทุกข์ จึงเห็นจริงว่า … ร่างกายไม่ได้เป็นเหตุให้ใจเกิดทุกข์
กระผมขอคำถามข้อถัดไป
คำถามข้อที่สาม
จิตตสังขาร ;
ซึ่งเป็นเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
พระพุทธเจ้าก็มีสิ่งนี้เหมือนกับพวกเราทุกคน แต่ก็ไม่ทำให้พระองค์เป็นทุกข์
แสดงว่า จิตตสังขาร ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
นักโทษชายเบอร์สอง : คำถามข้อนี้ กระผมสงสัยยิ่งนัก ความคิด อารมณ์ ความรู้สึกต่าง ๆ ทำให้กระผมทุกข์มาโดยตลอด จะหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น เพราะมันอยู่ในตัวกระผมเอง บางทีมีเรื่องที่ทำให้กระผมคิดมากจนนอนไม่หลับ กระผมเป็นทุกข์เหลือเกิน กระผมจึงไม่เข้าใจจริง ๆ ว่า … จิตตสังขารเหล่านี้ทำไมถึงไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
ผู้คุม : เจ้ามาได้ถึงเพียงแค่นี้ หมดสิทธิ์ไปต่อ ต้องเปิดโอกาสให้คนต่อไป
นักโทษหญิง : ข้อนี้ใจอิฉันไม่เคยสงสัยเลย ไม่ว่าความคิด อารมณ์ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นเมื่อมีการกระทบนั้น สิ่งเหล่านี้เค้าเกิดของเค้าเอง เค้าดับของเค้าเอง ตามเหตุตามปัจจัย อิฉันไม่เคยทำอะไร ได้แต่รับรู้อยู่ แต่ไม่เคยนำมาใส่ใจ
จึงไม่เคยสงสัยในข้อนี้และเห็นจริงตามนั้นว่า … จิตตสังขารเหล่านี้ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์ อิฉันขอคำถามข้อสุดท้าย
คำถามสุดท้าย
ใจ หรือ ธาตุรู้ ซึ่งเป็น “วิสังขาร” ;
พระพุทธเจ้าก็มีเหมือนกับพวกเราทุกคน แต่ก็ไม่ได้ทำให้พระองค์เป็นทุกข์
แสดงว่า ใจ หรือ ธาตุรู้ หรือ วิสังขาร ไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดทุกข์
นักโทษหญิง : ?????????? อิฉันไม่เหลือความทุกข์ในใจ ใจอิฉันก็สว่างไสว เบา สบาย ว่างเปล่า อิฉันก็มีความสุข แม้อยู่ในนี้ อิฉันก็ไม่ได้ทุกข์ เพราะอิฉันไม่ได้นำเรื่องโลก ๆ มาใส่ใจ อิฉันสนใจแต่ใจอิฉันเท่านั้น ที่มาทดสอบเพียงแต่อยากออกประตูไปดูภายนอกบ้างเท่านั้น
ผู้คุม : เจ้ายังไปต่อไม่ได้ เพราะเมื่อเจ้ายังไม่รู้แจ้งอย่างถึงใจ แม้ความทุกข์ในใจจะเหลือน้อยเพียงไร แต่ใจที่มีแต่ความสุขนั่นแหละ ยังทำให้มีความทุกข์ละเอียด ๆ แฝงอยู่
ทำไม !!! ทั้งสังขารภายนอก สังขารภายใน และ วิสังขาร
จึงไม่ได้ทำให้พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และ
พระอรหันต์ทั้งหมดเป็นทุกข์ เล่า ??? .......
ทำไม !!! เราก็มีสิ่งนั้น เหมือนกับพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์
แต่เหตุใดเล่า แม้จะหนีทุกอย่างขึ้นเขาสูงที่สุดในโลก แล้ว ก็ยังเป็นทุกข์อยู่ ???..........
พิจารณาให้ถึงใจ ซิ !!!
***** ถ้าไม่รู้เหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ ย่อมดับเหตุที่ทำให้เกิดทุกข์ไม่ได้*****
สรุป
ชื่อเรื่องคุกแห่งสังสารวัฏฏ์
ผู้คุม ชื่อ ตัณหา
นักโทษทุกคน ชื่อ นักโทษ (ผู้อื่น)
หลวงตา :
ผู้คุม : เจ้ายังออกไปไม่ได้ เพราะ เจ้ายังมีอวิชชา ตัณหา อุปาทาน ซึ่งเป็นกิเลสละเอียดที่สุด คือ เจ้าไม่ยึดถืออย่างอื่นแล้ว แต่เจ้ายังหลงยึดถือตัวเอง หรือ หลงยึดถืออาการของใจที่ว่างเปล่า เบาสบาย
ส่วนจิตหรือใจที่บริสุทธิ์แท้จะไม่ปรากฏอาการ
แม้พยายามเป็นใจที่ว่างเปล่า หรือ
มีความรู้สึกอยู่ในใจว่า ......
ใจของเราว่าง หรือ
ไม่มีสิ่งใด ๆ มีค่าต่อใจของเรา หรือ
หลงยึดถือว่า เราบรรลุธรรม ใจของเราว่าง ใจของเราบริสุทธิ์ เรานิพพานแล้ว ก็ยังหลงยึดถือว่ามีตัวเรา และ หลงยึดถือเอาจิตหรือใจที่บริสุทธิ์หรือนิพพานมาเป็นของเรา
จึงเป็นเหตุทำให้ไม่บริสุทธิ์แท้
ทำให้มีความทุกข์ละเอียด ๆ แฝงอยู่
ความอยากออกจากคุก แสดงว่า ยังหลงมีตัวตน
มีตัวเราติดอยู่ในทุกข์ หรือ ในสังสารวัฏฏ์ ทำให้โหยหาความเป็นอิสระ อยากพ้นทุกข์ (นิพพาน)
ต้องรู้เท่าทันความอยาก ความปรารถนา ความโหยหา .... นั้น
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2562