ผู้ถาม : กราบองค์หลวงตาเจ้าค่ะ ขอส่งการบ้านค่ะ
เดี๋ยวนี้ลูกกลับมาเดินแทนนั่งค่ะ เมื่อเกิดสติรู้สึกถึงร่างกายแยกออกมาส่วนหนึ่งอยู่ข้าง ๆ ผู้พูดก็ยังพูดอยู่ ใจลึก ๆ มันเงียบมันดูอยู่ ทุกอย่างแยก ๆ ออกมาเจ้าค่ะ มันเหมือนเงาตาม ๆ กันมา
จนสุดท้ายมันค่อย ๆ รวมตัวกันเป็นหนึ่ง แล้วก็นิ่งมากค่ะ ทุกอย่างมันเป็นของมันแบบนี้เอง มันเกิดเองแล้วดับเอง ตราบใดที่เราไม่เอาเราเข้าไปเกี่ยวข้อง
อธิบายยากจริง ๆ เจ้าค่ะ ตั้งใจเกินก็กลายเป็นเพ่ง แช่ ปล่อยเกินไป ก็หลงไปยึด ต้องรู้ซื่อ ๆ รู้เหมือนเด็กรู้ ถึงเห็นความจริงค่ะ
หลวงตา : สาธุ เพียรอย่างนี้ แหละ ! ให้ต่อเนื่อง …
ไม่เอาอะไร ไม่ยึดถืออะไร ไม่เป็นอะไร
ไม่มีผู้บรรลุหรือถึงอะไร
ไม่มีผู้ไม่บรรลุหรือไม่ถึงอะไร
ไม่มีผู้ได้ ไม่มีผู้เสีย
เพราะส่วนประกอบของชีวิตหรือขันธ์ห้า เป็นเพียงธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ ธาตุรู้ มาผสมปรุงแต่งกันเกิดขึ้นมาด้วยอำนาจของอวิชชา และ กรรม กรรม
แล้วก็แก่เจ็บตายไป หรือ ดับไป
ไม่ใช่ตัวตนคงที่ ไม่ใช่เรา ตัวเรา ตัวตนของเรา
เมื่อมี “อวิชชา” คือ ความไม่รู้แจ้งในสัจธรรม ความจริงดังกล่าว จึงหลงยึดถือขันธ์ห้าว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเราให้เป็นทุกข์ แล้วหลงเอาตัวเราที่หลงปรุงแต่งขึ้นมานั้น ไปหลงยึดถือสิ่งใดให้เป็นกิเลสและความทุกข์ทั้งมวลอีก
จนกว่าจะสิ้น “อวิชชา” ธาตุต่าง ๆ เหล่านั้น จึงไม่มาผสมปรุงแต่งรวมตัวกันเป็นรูปร่างต่าง ๆ ให้ต้องรับผลกรรมในภพภูมิต่าง ๆ อีกต่อไป
***** “สัจธรรม” หรือ ธรรม ซึ่ง เป็นความจริงของธรรมชาติ
เป็นเช่นนั้นเอง ไม่อยู่ในบังคับของผู้ใด ไม่ได้เป็นของใคร ไม่มีใครเป็นเจ้าของ และไม่ใช่ตัวตนของเรา
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2562