ผู้ถาม : วันนี้นอนมองท้องฟ้ากว้างเจ้าค่ะ ภาพและคำของหลวงตาบนภาพที่ว่า
“ความสุขที่แท้จริง คือ การไม่มีตัวเราไปทำอะไร เพื่อให้เป็นอะไร ไปพยายามดู ไปรู้ เห็น ไปละ ไปปล่อย ไปวาง มันจะเหน็ดเหนื่อยมากเลย มันจะสงบ หรือ ไม่สงบ ก็ไม่ใช่เราซะอย่างเดียว จะจิตฟุ้งหรือจิตสงบ ก็เป็นอาการ มีค่าเท่ากัน มันได้แต่รู้ว่ามันมีอาการอะไร อาการที่ถูกรู้เป็นสังขารที่มันไม่เที่ยง แต่เราเป็นผู้ไม่มีอาการ มันไม่มีใครได้อะไร ตัวเราไม่มี แล้วจะมีใครได้อะไร มันจะเป็นอย่างไร ก็ไม่มีใครเป็น”
ถึงใจเจ้าค่ะ แต่ก็ยังมีผู้รู้ที่เข้า ๆ ออก ๆ
หลวงตา : เห็นจากใจว่า ผู้รู้ที่เข้า ๆ ออก ๆ เป็นเพียง “สังขาร” ที่ไม่เที่ยง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
จึงไม่ต้องไปอะไร อะไรกับเขา
ผู้ถาม : นั่นซิคะ ยิ่งรู้ว่าเวลาในชีวิตเหลือน้อย รู้สึกว่าต้องเร่งทำความเพียรในชีวิตประจำวันและในรูปแบบ แต่ก็ทำในรูปแบบน้อยไปเสมอ ...
การนอนมองท้องฟ้ากว้างเป็นชั่วโมงทุกวัน บางที ก็ทั้งเช้ามืด ทั้งเย็นใกล้ค่ำ เห็นความว่างของฟ้าที่บางครั้งก็มีเมฆลอยมา มีนกบินผ่าน ใจบางทีก็มีผู้รู้ปรากฏ บางทีก็เห็นความคิด บางทีก็หลงไปกับความคิด มักจะมีความรู้ตัวทั่วพร้อม ปูเป็นพื้น บางครั้งก็มีปีติซ่านหรือเหมือนถูกปลายเข็มเล็กตรงโน้นตรงนี้ มีแค่วันเดียวที่รู้สึกคล้ายเปลื้อง ปอก เปลือย จากทุกอย่าง ไม่ว่าจะ ความยึด ความคิด ตัวตน รู้สึกกายโปร่ง อากาศผ่านได้ เหมือนภายในภายนอกค่อย ๆ จะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน การทำอย่างนี้ ถือเป็นการปฏิบัติฯ ในรูปแบบไหมเจ้าคะ
หลวงตา : รู้แล้ว .... อย่างไร ล่ะ !
ก็ไม่อะไร ....
แล้ว จะเอาอะไร !
ไม่เอาอะไร ....
ก็แค่ … รู้
ก็แค่นั้น....แหละ !
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2562