ผู้ถาม : หลวงตาเจ้าคะ ตราบใดที่ยังมีความหลงไปเป็นสังขารอย่างใด ๆ ก็ตาม เมื่อนั้นย่อมต้องมีกระบวนการปฏิบัติเกิดขึ้น ให้จิตเห็นความจริงและมีสติปัญญาเข้าใจความจริงนั้นด้วยใจ และไม่หลงในสังขารทั้งหมด
ในขณะใดไม่หลง ก็รู้ว่าไม่หลงแล้ว หลุดแล้ว แต่มันยังมีข้อผิดพลาด คือ ความรู้ว่าไม่หลง กับ "ตัวเรา" ไม่หลงแล้ว มันเป็นอะไรที่ละเอียดและปะปนกัน
พอมันกลายไปมีตัวเราไม่หลงแล้ว ตัวเราไม่ต้องปฏิบัติแล้ว หลังจากนั้นมันกลับไปหลงใหม่ ลากความยึดถือยาวต่อเนื่องไปเลย ตั้งแต่ละเอียด ย้อนกลับไปยึดอันหยาบ (สำหรับผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน คือ ลงไปสู่สังสารวัฏเลยเจ้าค่ะ)
พอรูดลงจนถึงสังสารวัฏแล้ว มันมีของมาบังเยอะแยะไปหมด เหมือนโดนภูเขาลูกแล้วลูกเล่าปิดไว้ เดินไปอย่างไรเหมือนวนในเขาวงกตอย่างนั้น เพราะยังหลงมีตัวเราเป็นต้นจิตแท้ ๆ
แต่ครั้นจะรักษาไว้ไม่ให้หลง นั่นก็หลงอีก คือ หลงเป็นผู้รักษาความเป็นธรรมเอาไว้ มันทำได้แต่เพียงหลงไปแล้วรู้เท่าทันเป็นขณะจิตเอา แล้วภพชาติทั้งหมดก็หายไปในขณะจิตนั้นเจ้าค่ะ ขณะที่ภพชาติดับไป ปัญญาจะรู้ในขณะเดียวกันว่า ทั้งหลายเหล่านั้นล้วนเป็นมายาจริง ๆ
แต่มายาที่เกิดสำหรับลูกทำไมมันถึงหนักหนานักก็ไม่รู้ เวลาที่เป็นแบบนั้นเหมือนมันจำไม่ได้เลย ว่าต้องปฏิบัติยังไง ธรรมอะไร ๆ ก็เป็นความจำไปหมด ไม่เป็นความจริงได้เลยเจ้าค่ะ
หลวงตา : อาศัยสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ขันติ หิริ-โอตตัปปะ อย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย
และเมื่อจิตสงบตัวลงละเอียดถึงที่สุดในแต่ละครั้ง ให้น้อมใจถึงพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ และบุญบารมีที่เราได้ทำมาแล้วทั้งหมด อธิษฐานถอนภพชาติให้ขาดที่ใจ สิ้นอาลัยอาวรณ์ในภพชาติในปัจจุบันนี้เป็นต้นไป ด้วยเทอญ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2562