ผู้ถาม : เมื่อวานหลังจากที่ส่งการบ้านหลวงตาเสร็จไม่นาน จากที่เป็นธรรมอยู่ เหมือนชัดเจนแล้ว ว่าปฏิบัติอย่างไร เป็นธรรมได้แค่แป๊บเดียว อยู่ ๆ มันกลับไปยึด และทางมันเหมือนจะปิดไปใหม่ แล้วมันทำท่าจะดิ้นรนในใจอีก
แต่ครั้งนี้ เห็นกลไกของการยึดถือแล้ว ตัวจิตที่ "ไม่รู้" ขอเพียงเจอสิ่งใด ที่มันรู้สึกว่า "ใช่แล้ว" ไม่ว่าจะเป็น สภาวะ วิธีการในการปฏิบัติให้เป็นสภาวะแบบนั้น มันจำไว้ และมันก็ยึดเอาไว้เลย
สิ่งนั้นแหละ กลายเป็น "เป้าหมายใหม่" ภายในใจเรื่อยไป และผลักใจสู่วงจรของการดิ้นรนค้นหาอีก ยิ่งรู้สึกว่าที่เป็นอยู่มันยัง "ไม่ใช่" ในสิ่งที่เป็นเป้าหมาย มันจะยิ่งดิ้นและยิ่งทำ ลงสู่ภพชาติจริง ๆ และลากความยึดถือทุกอย่างที่เคยวางไปแล้ว กลับคืนมาใหม่ได้เลย มันคือกลไกของการคืนกลับสู่ภพชาติแล้วการเวียนวนใหม่อีก
เลยเข้าใจในสิ่งที่หลวงตาเคยเตือนว่า ถึงจะรู้ธรรมเห็นธรรมขนาดนี้ แต่ถ้ายังไม่ถึงที่สุดแห่งทุกข์ มันคืนพุทธภูมิได้นะ แค่เจตนาจะคืนแม้เพียงนิด ทางเดินในการปฏิบัติ มันปิดไปเลย
ไม่รู้ว่าพลั้งเผลอไปตอนไหน แต่เข้าใจว่า น่าจะตอนที่มันรู้สึก "ไม่เป็นธรรม" แบบเดิม เมื่อ 3 วันก่อน แล้วเข้าใจว่า บารมีของเรายังไม่พอ มันเลยไม่สามารถไปถึงซึ่งนิพพานได้ มันเลยเป็นธรรมถาวรไม่ได้ ทีนี้มันเลยกลับไปยึดใหม่ คิดจะ "ทำ" อะไรที่เป็นบารมีเพิ่มเพื่อให้ไปถึงตรงนั้น จบเลยเจ้าค่ะ ทางปิด หาไม่เจอ เหมือนมันไม่เข้าใจอะไรเลย เหมือนสิ่งที่เข้าใจอยู่ ปฏิบัติอยู่ในจิต กลับกลายเป็นเพียงสัญญา ยังไงก็ไม่ได้ ยิ่งจะไปยิ่งดิ้น ยิ่งดิ้นกำแพงที่ปิดทางมันยิ่งหนาตัวขึ้นเรื่อย ๆ
แท้จริงแล้ว ไม่มีกำแพงอะไรหรอก ทางเดินมันก็อยู่ตรงที่ ๆ หลวงตาพูดถูกแล้วเจ้าค่ะ มันไม่มีสภาวะใดเลย ให้ไปถึง เมื่อไหร่มีที่หมาย เมื่อนั้นคือ การยึดถือ
สิ่งที่ต้องเพียร คือ รู้เท่าทันภาพลวงตาภายในใจ ที่เกิดขึ้นในทุกขณะจิต ว่ามันไม่มีอะไรจริงเลย
ความทุกข์ที่ปรุงแต่ง มันปรุงแต่งจากของที่ไม่จริง
ถ้าเข้าใจตรงนี้ได้ มันก็ไม่ทุกข์อะไรแล้ว ไม่รู้สึกว่ามีอะไรขวาง ไม่รู้สึกว่า โดนขังในอะไร
และไม่รู้สึกว่า "ไม่มีทางออก" ไม่มีอะไรที่ต้องทำให้ไปสู่ทางออกนั้น เพราะสิ่งนั้น ... มันไม่มีตั้งแต่ต้นเจ้าค่ะ
พลาดครั้งนี้ แต่ผ่านไปได้ เป็นบทเรียนครั้งใหญ่ และเป็นบารมีด้วย พรุ่งนี้มีอาจารย์เขาให้ไปออกรายการวิทยุ พูดเรื่องธรรมะที่ตรังเจ้าค่ะ
ยังไม่รู้ว่าจะพูดเกี่ยวกับอะไรเหมือนกันเจ้าค่ะ
หลวงตา : นึกน้อมถึงพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ และหลวงตา ขอให้มีธรรมแท้ที่เหมาะสมกับใจผู้ฟังในที่นั้น ปรากฏให้พูดออกมาจากใจในปัจจุบันนี้ ด้วยเทอญ
ให้สงบใจสักครู่ เดี๋ยวก็พูดออกไปตามธรรมที่ปรากฏในใจเอง ไม่ต้องกังวล
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 14 เมษายน 2562