ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา
ระหว่างนั่งเครื่องบินมา มันมีนิมิตตัวเองตายขึ้นมาเองเจ้าค่ะ แต่รอบนี้แปลกกว่าทุกครั้ง คือมันเป็นตัวเราที่รูปร่างหน้าตา ทรงผมแบบนี้ เสื้อผ้าก็แบบนี้ ตายในโลงเลยเจ้าค่ะ
ทุกทีมันจะนึกนิมิตเป็นตัวเองไม่ออก ออกแต่ภาพคนอื่น ถ้าจะเป็นภาพนะเจ้าคะ แต่ถ้าเป็นความรู้สึกว่าตัวเราต้องตาย นั่นทำได้อยู่
แต่เพิ่งเห็นภาพตัวเองตายชัด สักพักก็ถูกแยกชิ้นส่วน หัวขาดออกไปทาง ตัวขาดออกไปทาง
หัวที่ขาด ต่อให้จะซีดเป็นศพ ยังไง๊ยังไงมันก็รู้สึกเป็นตัวเรา เลยเห็นอวิชชาชัด ทำลายไม่ได้เลย
แต่พอตัวที่แยกหัวออกไป มันรู้สึกเหมือนไม่ใช่ของเรา สักพักหมาป่าทั้งหลายก็มากัดกิน ฉีกทึ้งเป็นเนื้อเละๆ หนังก็ออกมากอง กระดูกก็กระเด็นออกไป หนังลอกเป็นเนื้อแดงๆ ก็โดนฉีกพลิกตัวไปด้านหลังก็โดนทึ้งออกหมด สักพักก็มาที่หน้าอก ฉีกแหวกอกออก อวัยวะภายในโดนกินจนเละ สักพักค่อยมาฉีกกินหัว กินสมองเละๆ
สุดท้ายร่างกายที่เคยรู้สึกเป็นตัวเป็นตนเป็นรูปร่าง เหลือแค่เนื้อเละๆ กองรวมกัน มันบอกไม่ได้เลยเจ้าค่ะว่าสิ่งนี้คือเรา
มันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าที่แท้สิ่งนี้คือ "ใคร" ที่สมมุติออกมาได้ เพียงเพราะว่าชิ้นส่วนมันมาต่อกัน
สักพักมันก็ค่อยๆ เปื่อยหายไป เหลือแค่เศษเนื้อชิ้นเล็กๆ อยู่ใต้อุ้งเท้าหมาป่า มันเดินไปเนื้อนี้ก็ค่อยๆ จมหายลงไปในดิน ท้ายสุดก็คือไม่มีชิ้นเนื้อนั้นอีกแล้ว หายไปหมดเลย
ระหว่างที่มันเละๆ ใจมันแปลกๆ เหมือนกับมันแห้งๆ ยังไงก็ไม่รู้ คือแห้งกับสมมุติ ว่าทุกอย่างมันแค่นี้เองเหรอเจ้าค่ะ
แล้วภาพนิมิตมันก็ติดอยู่ในใจมากๆ แบบว่าไปไหนก็ไม่หาย คือเรียกว่าดูจนเหนื่อยแล้ว พอเหอะ เลิกเล่นได้แล้ว แต่ก็ไม่หายไป
แต่สักพักเหมือนมันก็พิจารณาว่า ภาพที่มันติดนี่ มันติดอยู่ที่ไหน มันก็รู้สึกว่าติดอยู่ที่ใจไง แต่ตัวใจไม่มีตัวตน แล้วมันติดได้ไง มันเลยมีปัญญาพลิกขึ้นมาว่า ปัญญา นิมิต ความรู้ทั้งหมด มันเกิดในใจ แต่มันไม่ใช่ใจเจ้าค่ะ
มันเป็นเพียงสิ่งที่อาศัยเกิดอยู่ในใจเท่านั้น แต่มันไม่ใช่ใจ
ลูกเริ่มเข้าใจ คำพูดที่หลวงตาบอกว่าตอนท้ายๆ มันไม่ยึดสังขารก็จริง แต่ในความว่างมันมีความรู้อยู่ ที่มันเป็นสังขารละเอียด รู้เห็นเข้าใจอยู่ภายใน และมันเห็นได้ยากว่าสิ่งนี้เป็นสังขารที่ปนอยู่
เพิ่งเห็นอันที่ละเอียดแบบนี้เหมือนกันเจ้าค่ะ
แต่ถึงแม้มันจะรู้แล้วว่านิมิตพิจารณากายที่ขึ้นมา มันเป็นสังขาร แต่มันกลับยังเล่นได้อยู่นะเจ้าคะ
มันอยู่เฉยๆ ไม่มีอะไรทำ ก็ต้องเอาอันนี้มาทำไปๆ ให้มันพออยู่ได้ ไม่งั้นก็นึกไม่ออกว่าจะอยู่ยังไงเจ้าค่ะ
หลวงตา : นั่นแหละเอาธรรมที่รู้เห็นชัดเจนด้วยใจถึงใจเช่นนั้น มาพิจารณาซ้ำแล้วซ้ำอีกให้ต่อเนื่องไม่ขาดสาย อย่าประมาทเป็นอันขาด
เมื่อขาดจากความหลงยึดมั่นถือมั่นจริงๆ จากใจแล้ว จะเป็นปัจจัตตัง รู้แจ้งแก่ใจสิ้นสงสัยเอง
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 28 กันยายน 2563