ผู้ถาม : กราบนมัสการท่านพระอาจารย์เจ้าค่ะ
โยมอยากกราบเรียนท่านว่าได้ฟังไฟล์ "ที่เกิดดับของสังขาร" แล้ว และเข้าใจแจ่มแจ้งถึงขบวนการทำงาน ที่สุดท้ายทำไมผู้รู้หายไป สรุปสั้นๆ ได้ใจความว่ามีแต่อาการของใจ สิ่งที่ถูกรู้ (สังขาร) ที่ปรากฏขึ้น แต่เมื่อขณะใดไม่มีกระแสจิตของผู้รู้แล่นออกไป (คือไม่มีอาการเริ่มต้นของผู้รู้ ที่จะออกไปเช็คตรวจสอบสิ่งที่ถูกรู้) เพราะเห็นกิริยาอาการของผู้รู้ว่าเป็นสังขารเช่นกัน
ในปัจจุบันขณะ ก็จะเหลือสิ่งที่ถูกรู้ ส่วนผู้รู้ก็หายไป จึงเหลือแค่รู้ที่เป็น "หนึ่งเดียว" (ที่มาจากไหนไม่รู้ ไม่มีจุดกำเนิดไม่มีที่มาที่ไป) กับสิ่งที่ถูกรู้ก็แค่นั้น ทุกอย่างล้วนเกิดที่ใจดับลงที่ใจ สมดังที่กล่าวกันไว้ ยิ่งฟังยิ่งเข้าใจเจ้าค่ะ
รู้สึกขอบคุณน้องมุ้ยที่ได้สนทนาธรรมกับท่านพระอาจารย์ในครั้งนี้ เป็นบุญของโยมที่ได้ฟังเจ้าค่ะ ขออนุโมทนาบุญกับน้องมุ้ยด้วยค่ะ ที่ช่วยเป็นสะพานบุญให้โยมและอีกหลายๆ ท่านเข้าใจในธรรมค่ะ
ตอนนี้ในหลายๆ ครั้งที่สภาวะธรรมที่เกิดขึ้นในจิต เริ่มเป็นแบบ "มีปรากฏ" แล้วก็หายไปอย่างรวดเร็ว แทบไม่ทันได้รู้เรื่องราว (เหมือนเมื่อก่อน) เจ้าค่ะ
แต่ก็ยังมีบางครั้งที่มั่วออกไปตามการปรุงจนถึงอายตนะทั้งในและนอกก็เคยเจ้าค่ะ พอฟังไฟล์ที่ท่านพูดเร็วๆ นี้ว่ามันจะมีอาการมั่วๆ แบบนี้ถึงได้เข้าใจ
การฝึกฝนยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ จริงๆ รู้สึกสนุกกับการแค่เห็นสภาวะปรุงแต่งของจิตไปเรื่อยๆ แบบนี้ถือว่าถูกทางเดินไหมคะท่าน คือโยมคิดเองว่า เมื่อรู้สึกสนุกกับงาน มันก็สามารถทำงานไปได้เรื่อยๆ ไม่รีบไม่เร่ง แต่ขณะเดียวกันการใส่ความรู้ "ความเข้าใจถูก" เพิ่มเติมก็เป็นสิ่งต้องทำเพื่อเติมปัญญาให้เต็ม จริงๆ ตอนนี้แทบทุกอิริยาบถ จะตามดู ตามรู้จิตตลอดเจ้าค่ะ ทำเองเป็นเองไม่ต้องบังคับ
แต่อยากกราบเรียนท่านว่า เมื่อเช้านี้ตอนฟังไฟล์ที่ท่านสอนน้องเต้ยเรื่อง "รู้จักธาตุรู้" ซึ่งคือตัวเราเอง แค่พอเริ่มฟังตอนที่ท่านพูดว่า "เราไม่รู้จักตัวเอง ว่าเป็นใคร" ซึ่งครั้งนี้ แค่ได้ยินคำนี้มันสะเทือนใจเข้าไปถึงใจจนลึกสุดที่จะพรรณนาได้เจ้าค่ะ ตกตะลึงและอึ้งไปชั่วแวบในสิ่งที่ท่านพูด แล้วมันเหมือนตะโกนถามตัวเองในใจว่า เราเป็นใคร ทันใดคำตอบก็ตอบออกมาว่า รู้แล้วว่าเราเป็นใคร มันสะอื้นร่ำไห้ออกมาอย่างหนัก น้ำตาไหลรินทะลักทะลวง เหมือนบอกว่ารู้แล้วเจ้าค่ะ รู้แล้วว่าเราเป็นใคร รู้สึกถึงความไม่มีๆ ทั้งข้างในใจและข้างนอกใจพร้อมๆ กัน
คำถามที่เตรียมจะถามท่านพระอาจารย์ ในชั่วขณะจิตนั้นมันบอกว่าไม่อยากรู้แล้ว ไม่ต้องการรู้อะไรอีกแล้ว
ความรู้สึกสะเทือนใจครั้งนี้ ทำให้ใจสั่นเป็นระยะๆ อยากกราบเรียนถามท่านว่าทำไมมีอาการแบบนี้เจ้าคะ แปลว่าอะไร โยมแค่คิดเอาหรือว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเข้าถึงธาตุรู้ที่บริสุทธิ์ได้จริงหรือเปล่าคะ ขอความเมตตาจากท่านพระอาจารย์ชี้แนะด้วยค่ะ
โยมไม่อยากคิดเอง เออเอง กลัวผิดทางกลายเป็นดราม่าไปเองเจ้าค่ะ
ปล. เมื่อก่อนมาปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์เป็นคนที่ไม่ชอบร้องไห้ ออกจะรำคาญคนที่ขี้แยด้วยซ้ำไป แต่เดี๋ยวนี้ทำไมร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรได้เสียมากมายไม่ทราบเจ้าค่ะ
หลวงตา : ธรรมแท้กระแทกอวิชชาแตก น้ำตาเลยแตก
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม 2563