ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา
แม้แต่กระแสแห่งธรรม มันก็เป็นสิ่งเกิดดับ จากธรรมปัจจัยที่ตกกระทบ และมีผู้รับธรรม ธรรมจึงตกถึงใจคนผู้นั้นได้ และคนผู้นั้นจึงผลิตธรรม ที่เป็นสังขารธรรม ออกจากธรรมแท้ที่เป็นความว่าง แล้วสิ่งที่ออกมานั้นจะเป็นพลังงาน ที่ตกกระทบใจของบุคคลอื่น ที่พร้อมจะรับธรรม หมุนเป็นธรรมจักรเช่นนี้เรื่อยไป
มันจึงถามตนเองว่า ธรรมจักรที่หมุนแรงขึ้นๆ เรื่อยๆ มันจะหมุนถึงเมื่อใด เมื่อไหร่มันจะหยุดหมุน
คำตอบที่ได้จากใจตนเอง คือ ธรรมจักรมันจะหมุนเช่นนี้เรื่อยไป เป็นกลไก พลังงานส่งต่อจากจิตหนึ่ง สู่จิตหนึ่ง
แต่ผู้รับธรรม เขาจะรับธรรมในธรรมจักรนี้ จากทั้งพลังงานของพ่อแม่ครูอาจารย์ พลังงานพระพุทธเจ้า แม้แต่พลังงานที่ส่งต่อจากใจของผู้ปฏิบัติด้วยกัน ทุกสิ่งที่หลวงตาโพสต์มา ธรรมของทุกคนที่ออกจากใจแท้ๆ มันสร้างแรงเหวี่ยงนี้ทั้งสิ้น ผู้รับธรรมจะรับธรรมสู่ใจไปเรื่อยๆ และลดทอนความมีตัวตนลงเรื่อยๆ เมื่อตัวตนลดลง "ใจ" ที่จะออกมารับธรรม มันจะน้อยลง จนท้ายที่สุด มันจะไม่มีเลย
พระธรรมมีอยู่ แต่ไม่มีใจของผู้นั้นออกมารองรับ จึงเป็นจุดสิ้นสุดแห่งการรับธรรม ในธรรมจักร คนผู้นั้นถ้ายังมีสังขารอยู่ เขาจะเป็นผู้ให้ ที่เป็น "ผู้ให้เปล่า" คือ ให้ธรรมทั้งหมด โดยไม่มีตัวตนของผู้ให้อีกต่อไปแล้ว ธรรมที่ออกจากสิ่งนั้น เป็นหนึ่งเดียวกับธรรมในธรรมชาติแท้ๆ รวมกันกับธรรมของพุทธะ และพระอรหันต์ทั้งหลาย อย่างไม่มีวันแบ่งแยกอีกเจ้าค่ะ
ผู้ที่ตกกระแสธรรมทั้งหมด มันจะมีตัวใจ ที่หมุนในกระแสธรรมจักรนี้ เหมือนใจมันพัฒนาตัวรับ wifi ที่มันรับได้ไวมาก อะไรกระทบเล็กน้อยก็เป็นธรรมได้ทันที และยิ่งเป็นแบบนี้ มันก็จะยิ่งไวต่อสัญญาณมากขึ้นเรื่อยๆ
ขอเพียงติดตามอยู่ (ซึ่งพวกนี้ ใจมันติดตามอัตโนมัติอยู่แล้ว ไม่ต้องบังคับอะไรเลย) ย่อมหมุนอยู่ในธรรมจักร โอกาสหลุดไปยากมาก เว้นแต่กรณีเดียวคือ คนผู้นั้นตั้งความปรารถนาจะออกจากธรรมจักรนี้เสียเอง ด้วยเหตุผลใดๆ ก็ตาม ธรรมจะมากมายแค่ไหน จะไม่อาจเข้าสู่ใจได้อีกเลยเจ้าค่ะ
ตราบใดที่ยังมี "ใจ" ที่รองรับธรรมได้ มันจะยังมี "ตัวเรา" ที่สามารถเลือกได้ ว่าจะอยู่ในกระแสธรรมต่อไป หรือจะออกจากแรงเหวี่ยงนี้ ไปเผชิญกับโลก และสภาวะอันโดดเดี่ยว ปราศจากกระแสธรรม อีกนานแสนนาน
มันประมาทไม่ได้เจ้าค่ะ ประมาทไม่ได้เลย ตราบใดที่ยังไม่สิ้นผู้รับธรรม
หลวงตา : สาธุ สาธุ สาธุ
น่าทึ่งมากๆๆ สามารถเข้าใจธรรมที่ลึกซึ้งอย่างนี้ได้ยังไง
อนุโมทนาสาธุ กับโยม
ที่รู้แจ้งความลับของพระสัจธรรม คือ ความจริงแท้ของอมตะธรรม ที่ไม่ปรากฏอะไรเกิดดับ และ รู้แจ้งความลับของธรรมจักร ซึ่งเป็นกระแสธรรมที่หมุนส่งต่อพระสัจธรรม จากจิตหนึ่ง สู่จิตหนึ่ง ด้วยพระเมตตาอันบริสุทธิ์ ของผู้ที่รู้แจ้งพระสัจธรรม ได้แก่พระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์สาวก ไปสู่จิตหนึ่ง เป็นอัปปมัญญา ถ้ามีผู้ใดเปิดใจรับพระสัจธรรม เขาก็จะส่งกระแสใจออกรับพระสัจธรรมเข้าสู่ใจ ธรรมจักรก็จะเข้าไปหมุนในใจของผู้นั้น จนกว่าความหลงยึดถือเป็นตัวตนหมดไป เมื่อสิ้นความหลงยึดถือมีตัวตน ธรรมจักรก็กลืนหายไปรวมกับใจที่ว่างเปล่า (ว่างเปล่าจากความปรุงแต่ง ว่างเปล่าจากตัวตน) หรือ กลายเป็นใจที่เป็นสัจธรรม
ต่อจากนั้น กระแสธรรมก็จะหมุนเป็นธรรมจักร เพื่อส่งต่อพระสัจธรรมจากจิตหนึ่งสู่จิตหนึ่ง อีกต่อๆ ไป ไม่มีวันจบสิ้น ตราบเมื่อยังมีผู้ปรารถนาจะรับพระสัจธรรม
ยุคใด สมัยใด มีผู้มีบุญวาสนาบารมีมาก ทั้งมนุษย์และเทวดา เปิดใจรับพระสัจธรรมเข้าสู่ใจพร้อมๆ กัน ธรรมจักรก็ยิ่งหมุนเร็วและแรง จึงมีผู้รู้แจ้งพระสัจธรรมมาก
ธรรมที่โยมรู้นี้เหมือนเปิดเผยสิ่งที่คว่ำให้หงาย
เปิดเผยความลับของพระสัจธรรม และ พระธรรมจักร
เปิดเผยความลับของฟ้าดิน ของโลกธาตุ คือ ความหมุนเข้าไปในโลกทั้งสามได้แก่กามโลก รูปโลก อรูปโลก ก็เพราะใจที่ปรารถนาจะหมุนไปสู่โลกทั้งสาม จะด้วยรู้ตัว หรือ ไม่รู้ตัวก็ดี จึงหลุดออกจากธรรมที่สิ้นโลก
แต่ถ้าเขาปรารถนาความพ้นทุกข์ พ้นโลก ใจก็เปิดรับพระสัจธรรมโดยอัตโนมัติ กระแสธรรมจากจิตหนึ่งของผู้ที่มีใจเป็นพระสัจธรรม ก็จะเป็นธรรมจักรหมุนเข้าสู่ใจของผู้นั้น
จนกว่าจะสิ้นหลงยึดมีตัวตน ธรรมจักรจึงรวมเป็นหนึ่งเดียวกับใจที่เป็นพระสัจธรรม
ดังนั้น “ใจ” จึงเป็นใหญ่ เป็นประธาน เป็นหัวหน้า จะเป็นโลกก็เพราะใจ จะเป็นธรรมก็เพราะใจ สำเร็จแล้วที่ใจ
ผู้ถาม : นั่นสิเจ้าคะหลวงตา ลูกก็ไม่รู้ ว่าเข้าใจได้ยังไง ของเก่ามันคงเหลือกินเหลือใช้อยู่พอสมควร แต่ถ้าไม่ถึงเวลาเอามาใช้ไม่ได้เลยเจ้าค่ะ
เหมือนอย่างมีรถดีราคาแพง เร่งเครื่องได้แรงและมีประสิทธิภาพมาก เงินในกระเป๋าก็มีเยอะ เกินกว่าค่าทางด่วนเป็นไหนๆ แต่ถ้าตัวเองเลือกเองที่จะไปรถติดอยู่บนถนน ต่อแถวยาวเฟื้อย ติดแหงกไปไหนไม่ได้ ทำอะไรก็ไม่ได้ ทั้งรถที่มีประสิทธิภาพและเงินในกระเป๋า จะเอาออกมาใช้เป็นไปไม่ได้เลยเจ้าค่ะ
พิมพ์แบบนี้ไป ก็รู้ว่ามันอดไม่ได้ที่จะยึด คือมีความรื่นเริงยินดี
แต่ต้องเตือนตัวเองเสมอจริงๆ ว่า ไอ้นั่นน่ะไม่ใช่ของเรา มันเสื่อมได้ พลิกกลับได้ ถ้ามีตัวเราที่เป็นกิเลสไปบล๊อก มันจะใช้ไม่ได้อีกเลยเจ้าค่ะ
และพิจารณาอีกทีอย่าเอามันมาเป็นภาระที่ใจเลยดีกว่าเจ้าค่ะ จะมีอะไรที่ต้องสงวนรักษา จะเป็นความสามารถใดหรือธรรมใด แม้แต่จะสงวนรักษาความไม่มีตัวเราไว้เพื่อธรรมเหล่านั้น
มันกลับเป็นภาระอย่างยิ่งจริงๆ
กราบหลวงตาด้วยใจทั้งใจเจ้าค่ะ ที่ช่วยรักษาโรคทางใจให้ โดยไม่ต้องการอะไรตอบแทนเลย ลูกก็ทึ่งหลวงตามากว่าหลวงตาสอนได้อย่างไร โดยที่ไม่ได้สอนอะไรเลย เหมือนสอนอยู่ในความเงียบ
ไม่ไหวเลยเจ้าค่ะ น้ำตาไหลไม่หยุด
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2563