ผู้ถาม : กราบหลวงตาเจ้าค่ะ ที่หลวงตาพูดถึงกระแสธรรมอันบริสุทธิ์ คือถ้าหากว่ามีตัวตน มีตัวเราไปขวางธรรมนิดนึง ก็จะไม่ได้รับกระแสธรรมอันบริสุทธิ์นั้นเลย
แต่โดยธรรมชาติแล้วจิตเกิดดับเร็วมาก ณ ขณะจิตหนึ่งเราไม่มีสติมีอวิชชา แต่อีกขณะจิตนึงเรามีสติขึ้นมา กระแสธรรมอันบริสุทธิ์นั้นยังสามารถที่จะเข้ามาสู่ใจหรือจิตเดิมแท้ได้ใช่ไหมเจ้าคะหลวงตา ไม่ใช่ตัดหมดเลย
หลวงตา : ตัวเราที่ถาม จะเอาอะไร นี่แหละ เกิดอวิชชา ตัวตนขึ้นแล้ว
หลงสังขาร ไม่เป็นสังขาร
ผู้ถาม : กราบขอโอกาสหลวงตาเจ้าค่ะ
ใช่เจ้าค่ะหลวงตา รู้ว่าตัวที่ถามอยู่นี่เป็นสังขาร เป็นอวิชชา แต่ฟังที่หลวงตาพูดเหมือนกับว่า ถ้ามันเป็นอวิชชาแต่แรกแล้ว มันจะฟังธรรมไม่รู้เรื่องตลอด แต่หนูคิดว่าถ้าขณะจิตต่อมา เรามีสติพลิกจากหลงเป็นรู้ กระแสธรรมหรือการฟังธรรมก็น่าจะเข้าใจได้เจ้าค่ะ เพราะว่ามันเกิดดับสลับกันเจ้าค่ะ
มันเป็นของจรมาเจ้าค่ะ เดี๋ยวก็จรไปเจ้าค่ะ
หลวงตา : ความโง่หลงว่ามีตัวจะเอาธรรมรู้ธรรมหายไป เพราะเกิดปัญญาเท่าทันอวิชชาขึ้นมาฉับพลัน ก็พบใจวิสังขารที่มีอยู่แล้วทันที
แต่ก็แค่รู้ว่าอะไรเป็นสังขาร อะไรเป็นใจที่ไม่สังขาร
“รู้ก็เพื่อรู้”
แต่ไม่ใช่รู้เพื่อยึด มิฉะนั้น จะโง่อีก
ผู้ถาม : เจ้าค่ะหลวงตา
"รู้ก็เพื่อรู้ ไม่ใช่รู้เพื่อยึด"
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2563