ผู้ถาม : กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะหลวงตา ฟังแล้วทึ่งในความฉลาดที่หลวงตาสามารถเมตตาถ่ายทอดพระธรรมให้ออกมาหลากหลายมาก ๆ
สลดใจกับความโง่ ที่หลงจริงหลงจัง ยึดจริงยึดจังกับของจร ตั้งแต่เกิด ทุกการปลูกฝัง ทุกการเรียนรู้ อยู่ในโลกจร
ของจรก็ถูกยึด สุด ๆ ว่านี่ของจริง นี่กูนะ ของเล่นกู เสื้อผ้ากู ขนมกู สมุดกูหนังสือกู ทุกข์จริง เจ็บจริง พ่อกูแม่กูพี่น้องกู พัวพัน ยุ่งเหยิง
มีแต่ความทุกข์ อะไรเหรอจะทำให้พ้นทุกข์ ลาภ ยศ สรรเสริญเหรอ พอเริ่มมี ทำไมมีแล้วยังทุกข์ สงสัยต้องมีผัว หาคนมาดูแล แต่ตอนนั้นคิดแบบนั้นจริง ๆ สติปัญญาได้แค่นั้นจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่พยายามเข้าวัด พยายามฟังธรรม มีเวลาเมื่อไรเข้าคอร์สปฏิบัติ อะไรที่โลกเค้าว่าจะพ้นทุกข์ ศาสตร์ไหนที่เค้าบอกว่าดี ก็เสาะหา อยากพ้นทุกข์
ในโลกที่มีแต่ของจร ดิ้นรนค้นหา ทะยานอยาก ยึดทุกข์แล้วทุกข์อีก ๆ
มาเจอหลวงตา พอได้รู้ว่าความคิด อารมณ์ ก็ไม่ใช่ของเราเหรอ เฮ้ย แล้วคนมันจะทุกข์ได้ยังไง ถ้ามนุษย์รู้ความจริงนี้ ไม่ต้องมีคนไข้จิตเวชแล้ว เหมือนคนแก่มาเล่าความโง่ของตนเองเลยค่ะ ทุกวันนี้ก็ยังหลงนะเจ้าคะ ก็ยังโง่นะเจ้าคะ แต่ข้างในมันมั่นคงขึ้นมากๆ
พอหลวงตาเมตตาย้ำอีกว่า "ของจร ไม่ใช่ของจริง" สะเทือนเลยเจ้าค่ะ ไม่รู้จะขอบคุณหลวงตาอย่างไร
หลวงตา : การส่งต่อพระธรรมคำสอนออกจากจิตหรือใจ ที่ไม่มีตัวจิต ตัวใจ ก็เหมือนกับเรือไม่มีท้องเรือ ทำหน้าที่ส่งคนข้ามฟากจากทะเลทุกข์ ไปฝั่งนิพพาน
เรือไม่มีท้องเรือมันไม่ยึดเรือ (จิตไม่ยึดจิต หรือ ใจไม่ยึดใจ)
มันแค่ส่งคนข้ามฟาก มันไม่ยึดคนข้ามฟาก
(มันไม่ยึดว่าเราทำความดี เราเป็นผู้สอน เป็นครู เป็นอาจารย์ และ ไม่ยึดศิษย์ หรือ ผู้ถูกสอน)
ผู้ถาม : ส่วนโครงเรือเปรียบเหมือนขันธ์ห้า เหมือนกายเนื้อองค์หลวงตาที่โอบอุมช่วยเหลือศิษย์อยู่นี้ตราบที่ยังมีชีวิตหรือเปล่าเจ้าคะ
หลวงตา : สาธุ
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 11 พฤษภาคม 2563