ผู้ถาม : ผมมาปฏิบัติธรรมก็เพราะเห็นทุกข์ของการเกิดมาในโลกแห่งความวุ่นวายนี้
ผมจึงไม่อยากเกิดอีกแล้ว จึงมุ่งหน้ามาปฏิบัติธรรมเพื่อผมจะได้ไปถึงที่สุดแห่งธรรมหรือถึงพระนิพพาน .. การดิ้นรนเดินสายเสาะหาพ่อแม่ครูอาจารย์จึงเกิดขึ้น
มาถึงวันนี้หลวงตาทำให้ผมมีความเข้าใจใหม่ผ่านไฟล์เสียงป้าหมอ
“ผม” ไม่ได้เกิดมา ชีวิตมันเป็นเพียงธาตุรู้ที่มีความโง่ติดอยู่ จึงปรุงแต่งร่วมกับธาตุอื่นของธรรมชาติสร้างนามรูปก้อนนี้ขึ้นมาชั่วคราว
ความโง่คือ “เชื่อในความคิด เชื่อในสังขารปรุงแต่งที่ปรุงคิดว่ามีตัวผมอยู่จริง” จิตจึงเกิดขึ้น แล้วปรุงแต่ง ๆๆๆ เป็นชีวิตขึ้นมา ต่อเนื่องยาวนานหาต้นไม่ได้หาปลายไม่เจอในสังสารวัฏ
หลวงตาเมตตาถ่ายทอดพระสัทธรรมมาสู่ใจผมเพื่อให้หายโง่ว่า
“ผมไม่ได้เกิดมา เพราะไม่มีผมมาตั้งแต่แรกแล้ว แค่เลิกหลงเชื่อสังขารปรุงแต่งที่ปรุงตัวเราขึ้นมาชั่วคราว”
ความอยากความปรารถนาในธรรมอันสูงสุด หรือความปรารถนาต่อพระนิพพานสิ้นสุดลงตรงที่...
“ตัวเราไม่มี ไม่มีผู้เสวย”
ไม่มีใครตาย
ไม่มีใครต้องไปเกิดอีก
ไม่มีใครกลัวหรือไม่กลัวการตายการเกิดอีกต่อไป
ปล่อยให้ธรรมชาติที่ปรุงแต่งมาแล้วดับไปตามกาลตามเหตุปัจจัย
อวิชชาไม่มี จิตไม่มี ตัวเราไม่มี บุญบาปและธรรมทั้งหลายก็เป็นโมฆะ ทุกอย่างสิ้นสุดลงตรงที่ความไม่มี
กราบขอบคุณหลวงตาอย่างที่สุด
กราบขอบคุณป้าหมอครับ...
*****หลวงตา :
เราไม่ได้เกิด เราไม่ได้ตาย
เพราะตัวเราไม่มี จึงไม่มีตัวเราเกิด ไม่มีตัวเราตาย ไม่มีตัวเราไม่เกิดอีก
*****ส่วนที่มีรูปร่างเกิดตายในภพภูมิต่าง ๆ นั้น ไม่ใช่ตัวเรา เป็นเพียงสังขารสมมติเกิดขึ้นมาตามกรรม ได้แก่
สัตว์เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก เทวดา มนุษย์ แล้วตายไป
ตัวเราจึงไม่ได้เกิด ไม่ได้ตาย
ส่วน “จิตเดิมแท้”
เป็น “วิสังขาร” อสังขตธาตุ อสังขตธรรม สุญญตา.... ซึ่งเป็นธรรมชาติที่ไม่มีอะไรปรากฏ ไม่ปรากฏรูปนาม ไม่มืด ไม่สว่าง ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
ไม่มีดวงจิต ไม่มีแม้แต่ความรู้สึกว่าง ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่อาจถูกทำลาย ไม่อาจถูกรับรู้ทางอายตนะภายใน
ซึ่งอาศัยอยู่ในร่างปรุงแต่งที่เกิดตายในภพภูมิต่าง ๆ
แต่ “จิตเดิมแท้” ไม่เกิดตาย ไม่เคยเกิดดับเลย
“จิตเดิมแท้” ไม่ใช่ตัวเรา จึงไม่มีตัวเราเกิดตาย หรือ มีตัวเราไม่เกิดอีก
“จิตเดิมแท้ หรือ พุทธะ” ไม่เคยเกิด ไม่เคยตาย เพียงแต่ปรากฏขึ้นมาในร่างสมมติ แล้วหายตัวไปเมื่อร่างสมมติตาย
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 2 พฤษภาคม 2563