ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงตา
ตื่นมาเช้ามืดด้วยเสียงฟ้าร้องฟ้าผ่า สายฟ้าแลบมาสว่างวาบ มันนอนเฉยๆ บนเตียง พิจารณาสภาวธรรมภายในไปเรื่อยๆ
พอฝนหยุดก็เช้า มานั่งข้างหน้าต่าง ท้องฟ้ามันเปลี่ยนสี แสงแดดเจิดจ้า นกบินไปมามันเหมือนกับว่ามันสงบและลึกซึ้งจริงๆ เหมือนโลกนี้มันแสนเงียบและไม่มีอะไรเลยที่ให้ทุกข์กังวล เหมือนกับมันเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ
จากเดิมที่ว่าเคยพบธรรมแท้ แสวงหาอยากครอบครองธรรมแท้ รู้ว่าธรรมแท้นั้นมีคุณเพียงใด แต่ในขณะเดียวกันมันดิ้นรนผลักไสโลกที่วุ่นวายโดยไม่รู้ตัว
แต่ ณ ขณะนี้มันกลับสงบยิ่งกว่าคือ สงบจากการพยายามเข้าไปครอบครอง สงวนรักษาและการพยายามออกจากโลกมาเป็นธรรม
เหมือนกับว่ามันเริ่มรู้และยอมรับจากใจจริงๆ ว่าฟ้าแลบ ฟ้าร้อง ฟ้าผ่า ฝนตก มันก็ไม่ได้ทำลายความสงบของท้องฟ้า อะไรจะเกิดขึ้นมันไม่ได้ทำให้ความสงบที่มันพ้นจากทุกข์ เพราะพ้นจากสภาวะทั้งมวลหายไป
ในขณะเดียวกัน แสงสว่างพระอาทิตย์มันก็ไม่ได้ทำให้ท้องฟ้ามันเปลี่ยนแปลงใดๆ เลย ไม่ได้ทำให้มันสงบมากขึ้น มันพ้นทุกข์มากขึ้น มันไม่มีผลใดๆ เลย ท้องฟ้ามันเป็นเช่นนั้นของมันอยู่แล้ว และจะเป็นเช่นนั้นอยู่ตลอดกาล
เป็นธรรมที่คู่กับโลก เมื่อโลกทั้งหมดดับไปในวันตายก็จะเหลือเพียงความสงบนี้ที่คงอยู่คู่โลก ที่ไม่มีโลกอีกแล้ว
แต่ถ้าความเป็นโลกมันยังไม่สิ้น จะต้องถือกำเนิดใหม่ ของสิ่งนี้ก็ยังคงอยู่ไปตลอด หลวงตาบอกไว้จริงเลยเจ้าค่ะ
มันอยู่กับเราอยู่แล้วทุกภพทุกชาติ ไม่ได้เกิดขึ้นและไม่ได้หายไป สิ่งที่เกิดขึ้นและหายไปและถือกำเนิดใหม่ มีแค่ส่วนของความเป็นสังขารเท่านั้น
การดับสนิทของพระอรหันต์คือ ดับสังขารทั้งหมด ไม่เหลือตัวตนไม่เหลือเชื้อ ส่วนที่เป็นสังขารจึงไม่อาจกำเนิดใหม่ได้อีก แต่วิสังขารมันก็อยู่ของมันเช่นนั้นเอง
ความรู้เช่นนี้ ทำให้เกิดความสงบและปล่อยวางจากก้นบึ้งหัวใจจริงๆ เจ้าค่ะ ไม่อยากไปเอาอะไรไปทำอะไรอีกแล้ว
หลวงตา : พระอรหันต์ท่านรับรู้ทุกปัจจุบันขณะ ทั้งภายในและภายนอกตามความเป็นจริงอย่างที่รับรู้ด้วยใจเป็นกลาง เที่ยงธรรม ยุติธรรม ไม่มีอคติ 4 ไม่ลำเอียงเพราะรัก ชัง หลง กลัว เพราะไม่ติด ไม่ยึดถือ ไม่มีกิเลส ตัณหา ได้แก่ กามตัณหา คือ อยากได้ อยากเอา อยากมี
ภวตัณหา คือ อยากเป็นนั่น อยากเป็นนี่
วิภวตัณหา คือ อยากไม่ให้เป็นอย่างนั้น อยากไม่ให้เป็นอย่างนี้
จึงเป็นผู้ดับสนิทไม่มีส่วนเหลือ
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2563