ผู้ถาม : หนูขอโอกาสกราบเรียนส่งการบ้านเจ้าค่ะหลวงตา
หลังจากที่หนูฟังไฟล์ “สุดท้ายจบที่ธาตุรู้” รอบที่สอง หนูก็เริ่มเห็นเจ้าค่ะหลวงตา ว่ามีอวิชชาที่ยึดวิญญาณขันธ์จริงๆ เพราะว่ามันยึดผู้รู้ที่ไม่พูดไม่พากษ์ (แต่มีลักษณะกิริยาการจ้องมองในใจอย่างเงียบๆ) ที่ผ่านมาก็นึกว่าเราเป็นผู้รู้เงียบๆ นี้มาตลอด แต่ขณะที่ฟังไฟล์นี้ก็สรุปได้ว่า ผู้รู้ที่เงียบๆ นี้ก็ยังเป็นของที่ถูกรู้เจ้าค่ะหลวงตา
หนูขออนุญาตเรียนถามอีกนิดนะเจ้าคะ คือ หนูสงสัยว่าธาตุรู้นี้รู้วิญญาณขันธ์อีกทีหรือเปล่าเจ้าคะ หรือว่าวิญญาณขันธ์ก็ไม่มีตัวตนเช่นกัน แต่ว่าเกิดดับ เกิดดับที่เห็นผ่านเจตสิกคะ และหนูสงสัยอีกเรื่องเจ้าค่ะหลวงตา อวิชชาที่ปนอยู่ในจิตเดิมแท้นี้จะเป็นสิ่งที่ถูกรู้หรือไม่เจ้าคะหลวงตา
หลวงตา : วิญญาณขันธ์จะทำงานร่วมกับเจตสิก คือ เวทนา สัญญา สังขาร อีกสามขันธ์ทุกปัจจุบันขณะ โดยจะไม่ปรากฏอาการเป็นผู้รู้
แต่จะปรากฏเป็นอาการของจิตตสังขารเกิดดับ เช่น คิด นึก ตรึกตรอง ปรุงแต่ง แสดงกิริยา หรือ อาการต่างๆ ขึ้นมาจากความไม่มีอะไรปรากฏ (วิสังขาร) ซึ่งเป็นเหมือนกับความว่างในธรรมชาติหรือในจักรวาล แล้วดับกลับคืนไปสู่ความไม่มีอะไร
ส่วน “วิญญาณธาตุ” ธาตรู้ จิตเดิมแท้ หรือ ใจ จะรู้จักธรรมชาติเขาเองว่า เขาเป็นธรรมชาติที่ไม่อาจปรุงแต่งได้ หรือไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร) จึงไม่อาจยึดถือ หรือทำกิริยาปล่อยวางได้ และรู้ว่า “สังขาร” เป็นสิ่งไม่เที่ยง เกิดดับ เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ไม่ใช่ใจที่ไม่เกิดดับ
ส่วน “อวิชชา” คือ ความคิดปรุงแต่งว่า จิตใจ หรือธาตุรู้ เป็นความมีสิ่งใดให้ยึดถือได้ แล้วหลงยึดถือเป็นตัวเรา ของเรา
เมื่ออวิชชาเป็นสิ่งปรุงแต่ง จึงเกิดดับและถูกรู้ได้
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2563