ผู้ถาม : กราบหลวงตาที่เคารพอย่างยิ่ง
หลังจากที่ได้ฟังไฟล์ความรู้ความเข้าใจหรืออะไรไม่ทราบ ใจมันเหมือนต้นไม้แตกกิ่งก้านงอกขึ้นมาเองจากสิ่งใดไม่ทราบ ไม่ทราบจะอธิบายอย่างไร ธรรมะเก่าที่เคยอ่านไปแล้วยังไม่ชัดเจน มันพาให้ไปอ่านอีกครั้ง จู่ๆ มือก็ไปกดโดนธรรมะที่หลวงตาเคยเมตตาชี้แจงไว้ให้เรื่อง “ฐีติจิต”
ทั้งที่เป็นอันเดิมแต่เข้าใจไม่เหมือนเดิม มันมีความลึกขึ้น ตอนนี้ทุกอย่างมันมาตรงที่ต้นตอของเหตุแห่งความทุกข์ทั้งมวล มาจากความหลงผิด (หรือความไม่รู้จริง ความรู้ผิด ความไม่รู้) คือ อวิชชา หลงไปมีตัวเราอยู่จริงจัง ซึ่งอวิชชานี้มีติดอยู่ในจิตดั้งเดิมแล้วตั้งแต่ต้น
แต่แท้ที่จริงแล้วอวิชชานี้ มันเป็นเพียงแค่คลื่น wave หรือ vibration ที่ออกจากความไม่มีอะไรเลย มันเป็นความโง่เขลาเบาปัญญาของเราอย่างแท้จริง ที่หลงเอาธรรมชาติ, wave, การกระเพื่อมไหว, vibration ว่ามันมีเป็นตัวเป็นตนอยู่จริงจัง
กลายเป็นวงของปฏิจจสมุปบาท (วัฏสงสารเวียนวนไม่เลิกไม่ลา) อวิชชา > สังขาร > วิญญาณ > นาม-รูป > สฬายตนะ > ผัสสะ > เวทนา > ตัณหา > อุปาทาน > ภพ > ชาติ > ชรา มรณะ
ทั้งที่ทั้งหมดเป็นแค่คลื่นความคิด คลื่นความรู้สึกที่ถูกรู้ถูกดูได้ แม้ผู้ที่มารู้มาดูอยู่ก็ไม่มีอยู่จริง มันเป็นเพียงมายาละคร เพียงภาพหลอน เพียงเงาลวงตาที่ไม่มีอยู่จริง ซึ่งเกิดจากความไม่มีอะไรเลยทั้งหมด
ผืนทรายนั้นกว้างใหญ่ยาวสุดลูกหูลูกตา ทุกครั้งที่คลื่นซัดมา ทุกสิ่งที่อยู่ที่พื้นชายหาด ก็จะถูกคลื่นซัดลงกลับสู่ท้องทะเล และสุดท้ายคลื่นก็ซัดทุกสิ่งทุกอย่างไปหมด จนไม่เหลือสิ่งใดค้างไว้ที่ผืนทรายเลย และทุกสิ่งก็จะหายกลับคืนสู่ท้องทะเล หายลงไปในท้องทะเลที่กว้างใหญ่ลึกไม่มีที่สุดไม่มีประมาณ ไม่อาจจะหยั่งได้ถึงที่สุด
โดนหลอกมาเนิ่นนาน ข้ามภพข้ามชาติ ไม่รู้เนิ่นนานแค่ไหนนานนับไม่ถ้วน น้ำตาของความโง่นั้นมันไหลอย่างบอกไม่ถูก มันโง่ได้ลึกซึ้งมาก ชาตินี้มีบุญวาสนายิ่งนักได้พบครูบาอาจารย์อบรมสั่งสอนแก้ผิดเป็นถูก แก้หลงเป็นรู้ ขอกราบในพระเมตตาอันไม่มีที่สุดไม่มีประมาณของหลวงตาค่ะ
หลวงตา : “ฐีติจิต” คือ จิตดั้งเดิมตั้งแต่มีจิตเกิดขึ้นมาในจักรวาลพร้อมกับอวิชชา คือ ความหลงยึดถือตัวมันเองว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา เป็นของของเรา เพราะความไม่รู้สัจธรรมความจริง (อวิชชา) หรือไม่รู้จักว่า “จิตเดิมแท้” หรือธาตุรู้บริสุทธิ์ (ไม่มีอวิชชา) ไม่ใช่ธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ อากาศ ไม่ใช่อรูปฌาน เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม เป็นสุญญตา ไม่มีตัวตนรูปลักษณ์ ไม่มีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ใด ไม่อาจมีความรู้สึกนึกคิดตรึกตรองปรุงแต่งได้ ไม่เกิดดับ ไม่อาจถูกรู้ได้ทางอายตนะภายใน
*****ไม่มี “สังขาร” ผสมปนอยู่เลยแม้น้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่ง
ส่วน “อวิชชา” ที่ติดมากับจิตดั้งเดิมเป็น “สังขาร” คือความปรุงแต่งหลงยึดถือจิตดั้งเดิม หรือฐีติจิต ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา เป็นของของเรา
*****ครั้นเกิดปัญญาวิมุตติรู้แจ้งความจริงดังกล่าวขึ้นมาในขณะจิตใด ก็จะถอนความหลงผิด (อวิชชาดับ) ที่ติดมากับฐีติจิต หรือจิตดั้งเดิมจนหมดสิ้น เหลือแต่ฐีติจิตบริสุทธิ์ มีชื่อสมมติว่า “นิพพาน” หรือ “นิพพานธาตุ”
ดังนั้น จิตดั้งเดิม หรือฐีติจิต แม้จะเป็นประภัสสรเปรียบเหมือนกับแร่ทองคำ แต่ก็ไม่ได้บริสุทธิ์มาตั้งแต่แรก ครั้นเอาสิ่งเจือปนออก ได้แก่ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน ส่วนที่เหลือจึงเป็นธาตุบริสุทธิ์
ตราบใดถ้ายังมีความหลงคิดปรุงแต่งว่า มีเราเป็นตัวตน (ไม่เห็นว่าเป็นสมมติ) ก็ยังไม่พ้นทุกข์ (ไม่นิพพาน) เพราะจะมีตัวเรา มีกิเลส หรือ อวิชชา ตัณหา อุปาทาน
แล้วจะหลงมีเราเป็นตัวตนดิ้นรนทะยานอยากเพื่อให้ตัวเราได้สมใจอยาก เมื่อยังไม่สมใจอยากเสียที ความทุกข์ก็ยังไม่สิ้น
ไม่ใช่หลงมีเราเป็นตัวตนดิ้นรนไปจนพบนิพพาน (พ้นทุกข์) แต่จะพ้นทุกข์ เพราะสิ้นหลงยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของของเราที่ติดมากับจิตดั้งเดิม จิตดั้งเดิมจึงจะบริสุทธิ์ เป็นนิพพานธาตุ
แต่ถ้ายังหลงยึดมั่นถือมั่นเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของของเรา แม้จะดิ้นรนทะยานอยากอย่างแรงกล้าเท่าใด ก็จะหลงเอาตัวเราดิ้นรนพยายามกระทำอะไรเพื่อให้ตัวเราได้รับผลประโยชน์ เช่น พ้นทุกข์
แต่ตราบใดถ้ายังมีอวิชชา หลงยึดถือเป็นเรา ตัวเราของเราอยู่ จิตก็จะยังไม่บริสุทธิ์ หรือยังไม่นิพพาน
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2563