ผู้ถาม : ที่หนูเข้าใจและกราบเรียนหลวงตาไปเมื่อวานนี้คือ ธาตุรู้นั้นแค่รู้เท่านั้น รู้ทุกอย่าง ทุกอาการของใจ
แต่หลวงตาบอกว่าไม่ใช่รู้เอ๋อ แต่ต้องรู้ว่าไม่มีตัวเราเข้าไปยึด คือ ต้องอาศัยสติ ปัญญา (รู้ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) เป็นเรือข้ามฟาก แต่ไม่ไปเป็นเรือและไม่ยึดเรือ
แต่ที่หนูเป็น คือ หนูไปยึดเรือ ไปตั้งรู้ ไปยึดรู้เป็นเรา เราเป็นรู้ (เลยทำให้ถูกพลังอัด) ซึ่งหลวงตาเคยบอกหนูแล้วครั้งหนึ่งก่อนหน้านี้เจ้าค่ะ แต่หนูก็ยังไปยึดรู้ ตั้งรู้ มีหนูที่กลัวว่าจะไม่เป็นรู้
การปฏิบัติธรรม คือ ไม่ต้องทำอะไรเลย แค่มีสติ สัมปชัญญะ รู้เท่าทันสังขารและเห็นว่ามันเป็นเพียงสังขาร เป็นสิ่งที่ถูกรู้ เป็นอาการของใจ ไม่ไปยึดหรือเห็นว่าสังขารนั้นเป็นเรา หรือมีเราไปยึดสังขาร
ที่หนูเขียนมาทั้งหมดนี้เป็นสัญญาที่จำมาจากที่หลวงตาเมตตาสอน แต่ยังไม่ถึงใจหรือรู้ด้วยใจ
กราบขอบพระคุณหลวงตาเป็นอย่างสูงเจ้าค่ะ
หลวงตา : หลงเอาตัวเราไปเป็นสังขารคิดปรุงแต่งดิ้นรนค้นหา อยากเอาตัวเราไปเป็น “ใจ” หรือ ธาตุรู้แท้ (วิสังขาร สุญญตาธาตุ หรือ นิพพานธาตุ) มันเป็น อวิชชา ปัจจะยา สังขารา สังขารา ปัจจะยา วิญญาณัง..... ตัณหา อุปาทาน...... ทุกข์
ต้องรู้เห็นด้วยใจในปัจจุบันขณะว่า ภายในใจมีตัวเราโถมเข้าไปแสดงกิริยาหรืออาการอย่างนั้น
รู้แล้วไม่หลงกระทำตาม ไม่พยายามดับสังขาร ไม่พยายามไม่กระทำตาม
ด้วยความหลงผิดว่าจะรักษาใจไว้ เพื่อให้เป็นใจไม่ปรุงแต่ง (วิสังขาร)
แต่การกระทำเช่นนี้ ล้วนเป็นสังขารปรุงแต่ง หรือ เป็น “ใจปลอม” เพราะเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
*** ส่วนใจแท้ ธรรมแท้ สุญญญาธาตุ นิพพานธาตุ เป็น
วิสังขาร หรือ อสังขตธาตุ อสังขตธรรม ซึ่งเป็นธรรมไม่ปรุงแต่ง หรือ ไม่อาจปรุงแต่งให้เป็นได้
จึงไม่อาจจะปรุงแต่งพยายามทำอย่างไรให้เป็น “ใจแท้” หรือ “ธรรมแท้” ได้ นอกจาก “ปล่อย-วาง” เท่านั้น
ปุจฉาวิสัชชนาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2563