ผู้ถาม : กราบนมัสการองค์หลวงตาเจ้าค่ะ ส่งการบ้านเจ้าค่ะ
ขณะที่หนูได้คุยกับพี่ที่ทุกข์มากคนนึง ปรากฏว่าปากก็พูดไปว่า.....
ที่เราทุกข์มากมายาวนาน เพราะเราทำทุกวิถีทางที่จะแยกความทุกข์ออกจากใจ หรือ พยายามช่วยใจให้ออกจากทุกข์ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สำเร็จ
ที่แท้ใจเป็นบ้านของความทุกข์ เค้าอยู่ด้วยกัน ยอมให้ความทุกข์กะใจเค้าอยู่ด้วยกัน เพราะความจริงเค้าอยู่ด้วยกัน
จึงไม่ต้องพยายามแยกมันอีก ทุกการกระทำ ทุกความดิ้นรนค้นหา ทุกความอยาก เป็นเพราะจะแยกความทุกข์กับใจออกจากกัน
ขณะที่พูดอยู่นั้นเหมือนข้างในมันเข้าใจอะไรขึ้นมาเจ้าค่ะ..... เหมือนมันกลับตาลปัตร ปล่อยบ้านร้าง ไม่มีเจ้าของ ไม่มี “ใคร” ต้องทำอะไรเพื่ออะไรอีกต่อไปเจ้าค่ะ
น้อมกราบองค์หลวงตาอย่างสูงสุด กราบ กราบ กราบ เจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
เมื่อพบ “ใจ” ซึ่งเปรียบเหมือนบ้านร้างไม่มีคนอยู่แล้ว
ธาตุรู้บริสุทธิ์ หรือ จิตบริสุทธิ์ หรือ ใจบริสุทธิ์ หรือ นิพพาน ซึ่งเป็นธรรมธาตุจะรู้ขึ้นมาเองจากใจ ว่า บัดนี้บ้าน (ใจ) ร้างไม่มีเจ้าของแล้ว
โดยไม่มีตัวตนของผู้รู้ ไม่มีตัวตนของผู้เจตนารู้ จงใจรู้ พยายามรู้ ตั้งใจรู้
ความรู้นี้ กับ ใจ (เปรียบเหมือนบ้านร้าง) ก็รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน คือ เป็นใจที่รู้
หรือ รู้ออกมาจากใจที่ไม่ปรากฏจุดหรือต่อมหรือที่ตั้งของใจ รู้ออกมาจากความว่างเปล่า
ปราศจากตัวตน ว่างเปล่าจากรูปลักษณ์หรือที่หมายใด ๆ
เป็นธรรมชาติไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดดับ ไม่มีการเคลื่อนที่ ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการนิ่งเฉยอยู่ ไม่ปรากฏอะไรเลย
ไม่มืด ไม่สว่าง ไม่สุข ไม่ทุกข์ ไม่ผ่องใส ไม่เศร้าหมอง
ไม่มีทั้งอวิชชาและวิชชา ไม่มีบัญญัติว่าโลกหรือธรรม
ไม่ใช่สัตว์บุคคล ตัวตน ***** เรา เขา (เพราะสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดเป็นสังขาร)
ไม่อาจถูกรู้ได้ทางอายตนะภายใน
ไม่อาจเอาขันธ์ห้าไปหาเขา
ไม่อาจถูกทำลาย
เป็นอมตธาตุ อมตธรรม
***** ใจบริสุทธิ์ ย่อมรู้ใจบริสุทธิ์ หรือ นิพพาน ย่อมรู้นิพพาน
ใจบริสุทธิ์ หรือ จิตบริสุทธิ์ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ หรือ นิพพาน ไม่ใช่ความว่าง แต่เป็นความรู้ที่ไม่ปรากฏอาการ ไม่มีตัวตนของผู้รู้ จึงไม่ใช่เราเป็นคนรู้ หรือ ผู้รู้เป็นตัวเรา
เมื่อเป็นความรู้ที่ไม่มีตัวตน จึงเป็นธรรมชาติที่ได้แต่รู้
ไม่มีตัวตนของผู้ยึดถือ และ ไม่มีตัวตนของผู้ปล่อยวาง
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 2 มกราคม 2563