ผู้ถาม : กราบนมัสการค่ะหลวงตา ตราบใดที่ธาตุรู้ยังมีอวิชชาอยู่ ยังคิดว่าขันธ์ห้า 5 (รูป เวทนา สัญญา สังขาร และโดยเฉพาะวิญญาณ) เป็นของเรา เป็นเรา เกิดการกระทำตามตัณหาเพราะอยากให้ขันธ์ 5 นี้ เป็นสุขเที่ยงแท้ถาวร เป็นไปตามที่เราหวังไว้ได้ทุกประการ ซึ่งเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เพราะความจริงแล้วขันธ์ 5 เป็นทุกข์ ไม่เที่ยง เป็นอนัตตาบังคับให้เป็นอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
จะเลิกทำตามตัณหาได้ก็ต่อเมื่อจิตเห็นจิตอย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า ขันธ์ 5 ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ตัวตนของเรา
ถึงตอนนั้นธาตุรู้ก็จะเป็นธาตุรู้ที่บริสุทธิ์หมดอวิชชา ไม่โง่ไปปรุงแต่งที่จะทำอะไรเพื่อใครอีกแล้ว ได้แต่ปล่อยให้ขันธ์5 (สังขาร) เขาเกิดดับเองอย่างเก้อ ๆ ธาตุรู้ (วิสังขาร) ก็ได้แต่รู้อย่างเก้อ ๆ
น่าจะเป็นเมื่อวานนี้ตอนที่โยมนั่งสมาธิโยมจะเอาจิตรู้กับพุทโธ ๆๆ เมื่อมีสิ่งอื่นก็รู้แต่ไม่สนใจแต่จะรู้แต่พุทโธ สักพักหนึ่งจะรู้สึกถึงความว่างแต่ก็รู้สึกว่ามีคนรู้ความว่างอยู่
นึกถึงคำสอนของหลวงตาได้ว่าถ้ายังเห็นว่ามีคนดูความว่าง ไอ้คนที่ดูความว่างอยู่ก็เป็นสังขาร
โยมรู้สึกว่ามันจะเหมือนเป็นการดูซ้อน ซ้อน ซ้อนแล้ว โยมเลยปล่อยทิ้งให้ความรู้สึกอะไรเกิดขึ้นแล้วค่อยรู้สึก ให้ความรู้สึกเกิดขึ้นเองว่าอะไรจะเกิดก็ให้เป็นไปตามนั้นไม่คาดหวัง ไม่เพ่งจ้อง
แล้วดูว่ามันเกิดเองดับเอง (แต่สักพักก็จะเห็นว่ามีคนที่ดูว่าเกิดเองดับเอง) มันเหมือนมันวนไปแบบนี้เรื่อย ๆ ค่ะ แล้วก็จะมีการพิจารณาว่าทั้งผู้รู้ สิ่งที่ถูกรู้ไม่ใช่เรา เหมือนใส่ความเข้าใจไปค่ะ
หลวงตาโปรดเมตตาชี้แนะด้วยค่ะว่าที่โยมทำอยู่นี้ยังติดอะไรหรือเปล่าคะ กราบนมัสการและกราบขอบพระคุณในความเมตตาของหลวงตาอย่างสูงค่ะ
หลวงตา : ปล่อยวางทั้งสิ่งที่ถูกรู้ และผู้รู้
ผู้รู้เป็นสังขาร ละเอียดที่สุด คือ ผู้รู้ จะมีกิริยาจิต แสดงอาการพยายามรู้ เห็น เข้าใจ ละ ปล่อยวาง
เมื่อใจ ซึ่งเป็นวิสังขาร รู้แจ้งด้วยใจว่า ผู้รู้ที่แสดงกิริยาต่าง ๆ นั้นเป็นสังขารปรุงแต่ง ซึ่งเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ใจก็จะปล่อยวางผู้รู้
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2563