ผู้ถาม : มี.. "มึง" มี.. "กู" เลยไม่จบซะทีครับ
หลวงตา : คำว่า มี.. "มึง" มี.. "กู" เลยไม่จบซะที แสดงว่ามี “อวิชชา” ความปรุงแต่งยึดถือเป็นตัวเรา หรือ ตัวกูไว้ในใจ
จะมีตัวเราจบ แต่เพราะมีมึง มีกู กูเลยไม่จบเสียที
ต้องยอมรับจากใจว่า มีตัวกูอยากนิพพานแอบซ่อนเร้นไว้ในใจ โดยไม่รู้ตัวมาก่อนเลยจริง ๆ
*****ต้องมีสติ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียรสังเกตอย่างเงียบเชียบจริง ๆ ไร้เจตนา พยายาม จงใจ ตั้งใจคิดตรึกตรอง วิเคราะห์ หรือ ปรุงแต่งใด ๆ ขึ้นมา แม้แต่การจงใจรู้
แล้วจะรู้เห็นความจริงจากใจ "ใจ" (ซึ่งเป็นธาตุรู้ที่เป็นวิสังขาร อสังขตธาตุ อสังขตธรรม สุญญตาเขาเป็นผู้รู้) ว่า ความคิดปรุงแต่ง เป็นความรู้สึกเป็น “กู” เป็น “มึง” เป็นสังขารปรุงแต่ง หรือ เป็นคลื่นพลังงาน เป็น Wave ที่เกิดขึ้นมาจากความไม่มีอะไร แล้วดับไป เหมือนกับสังขารอื่น ๆ ซึ่งเกิดเอง ดับเอง... เกิดเอง ดับเอง.....
เมื่อใจผู้รู้เป็นความว่าง จึงได้แต่รู้ ไม่หลงยึดสังขาร และ วิสังขาร เป็น “กู” หรือ ของกู
เมื่อไม่มี “กู” ก็ไม่มี “มึง” มีแต่รู้
มีแต่ “รู้” ที่ไม่มีกู ไม่มีมึง ไม่มีตัวผู้รู้ ไม่มีอะไรปรากฏเลย
เป็น “วิสังขาร” อสังขตธาตุ อสังขตธรรม สุญญตา นิพพาน
ผู้ถาม : ผมเข้าใจแล้วครับ มันมี "ตัวเรา" ที่จะจบ ! มีอวิชชาที่ซ่อนอยู่และแสดงตัวออกมาในคำพูด หรือในความรู้สึกว่า จะต้องมีการจบหรือมีตัวเราที่จบ แต่แท้จริงเป็น "สังขารละเอียด" หรือเป็นความกระเพื่อมเล็ก ๆ เป็น wave ที่เจ้าตัวไม่เห็น แต่มันมีความหมายของตัวตนอยู่ภายใน เป็นตัวแอบและยึดถืออยู่เบื้องหลัง และจงใจที่จะเป็นอะไรสักอย่าง จากที่เดิมมันไม่ใช่ตัวตนของเราอยู่แล้ว...
ขอกราบขอบพระคุณหลวงตาที่ชี้ให้เห็นอวิชชาที่ซ่อนตัวอยู่ภายในครับ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 28 เมษายน 2563