ผู้ถาม : กราบนมัสการด้วยความเคารพอย่างสูงค่ะ เมื่อเช้าพิจารณาข้อธรรมตามที่หลวงตาสอน เรื่องขันธ์ห้า ที่ว่าขันธ์ห้าเค้าทำงานของเค้าเอง
เมื่อพิจารณาการทำงานของวิญญาณขันธ์ทางประตูทั้งหก ก็เห็นตามได้ว่า เมื่อตากระทบรูป จักษุวิญญาณเค้าก็ทำหน้าที่มารับรู้การเห็นเอง ไม่ต้องมีใครไปบอกไปสั่ง
ประตูหู ประตูจมูก ประตูลิ้น ประตูกาย วิญญาณขันธ์เค้าก็ทำหน้าที่รับรู้ ของเค้าเอง
ส่วนประตูใจนั้นมโนวิญญาณก็ทำหน้าที่รับรู้ธรรมารมณ์เองเมื่อมีเวทนา สัญญา หรือสังขาร เกิดขึ้น
แต่ทำไมในการปฏิบัติของเราจึงต้องตั้งใจดู ตั้งใจที่จะรู้ธรรมารมณ์ทางประตูใจ
การที่ไปตั้งใจคอยดูธรรมารมณ์ที่จะเกิดขึ้น จึงเป็นอวิชชา เพราะมีตัวเราอยากเห็นจิต อยากเป็นผู้รู้ อยากเห็นสังขารอย่างชัดเจน จะได้รู้ได้เข้าใจได้เห็นมันเกิดขึ้นดับไป เพื่อจะได้หมดความยึดถือ จะได้สิ้นทุกข์
ได้เห็นว่าความตั้งใจที่จะดู จะรู้ จะสังเกต เป็นเพราะมีความอยากเพื่อตัวเราจริง ๆ
หลวงตาถึงได้สอนตลอดมาว่า ให้รู้เท่าทันการกระทำทางใจที่ตั้งใจจะไปทำอะไร เพราะมันมีผู้บงการอยู่เบื้องหลังคือเพื่อตัวเรา ให้เห็นตัวเรา รู้เท่าทันตัวเรา เพราะเป็นอวิชชา เราไม่มี ไม่มีเรา ไม่มีตัวตนของเราอยู่จริง
เมื่อพิจารณาถึงตรงนี้มันเห็นตัวบงการ เห็นว่ามันมีกูอยู่เบื้องหลังทุกการกระทำ จึงเกิดอาการขำตัวกู ขำอยู่สักครู่ ต่อมาเห็นการที่ไปดูเช็คจิตว่าจิตสบายดีไหม ก็รู้ว่าเบื้องหลังการดูคือชอบจิตดี อยากให้จิตดี เลยพยายามไม่ดู เพราะกลัวจะเกิดตัวกูที่ไปดู แล้วก็รู้สึกว่า ก็กูนั่นแหละที่กลัวจะเกิดตัวกู ก็เลยขำตัวกูใหญ่เลยค่ะ
กูกลัวจะมีตัวกู
ขำตัวกู
ไม่ทราบว่าที่ขำ เป็นสังขารปกติ หรือเป็นกูที่ขำตัวกูคะ
นึกถึงตรงนี้ก็ยังขำอยู่ค่ะ แต่ไปต่อไม่ถูกแล้วค่ะ
กราบ กราบ กราบด้วยความนอบน้อมด้วยเศียรเกล้า
หลวงตา : “สัจธรรม” ไม่มีอวิชชา ไม่มีจิต ไม่มีกู ไม่มีผู้ทุกข์ (นิพพาน)
มีจิต มีอวิชชา มีตัวกู มีผู้ทุกข์
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2563