ผู้ถาม : กราบหลวงตาครับ เมื่อวานหลังจากประกาศผลการคัดเลือกเข้าแพทย์จุฬาฯ ของลูกผ่านเรียบร้อยครับ สมดังที่เขาต้องการ…
ผมย้อนมานึกถึงที่หลวงตาเคยพูดถึงลูกที่เรือนน้ำตั้งแต่ครั้งแรกที่หลวงตามาว่า "เขาก็เป็นหมอเหมือนพ่อนั่นแหละ" และครั้งที่สอง หลวงตาพูดกับผมที่บ้านลัดดารมย์ว่า "... ของหมอจะเป็นธรรม ก็โน่นต้องรอให้ลูกเขาเรียนจบก่อนมั้ง..." แล้วหลวงตาก็ยิ้มให้
ผมจำได้หมดเลยครับ
เช้านี้ผมตื่นแต่เช้า มานั่งพิจารณาว่า มันก็ไม่มีห่วงอะไรหมดแล้ว วางมันเสียที เลยนั่งสมาธิ คือ นั่งเฉย ๆ ปล่อยวางทุกอย่าง นั่งดูไปเรื่อย ๆ ครับ
ในความฟุ้งซ่านของจิต ความคิด คำพูดต่าง ๆ เขาก็เข้ามาในความรู้ เข้ามาแล้วก็ผ่านไป หลาย ๆ ความคิด การพูดกับตัวเองในใจ ความพยายามที่จะทำ ความพยายามที่จะปล่อยวาง...
สุดท้ายมาฉุกคิด เกิดปัญญาขึ้นมาว่า อ้าว แล้วใครเป็นผู้ได้ยิน ใครเป็นผู้เข้าใจ ใครเป็นผู้รู้สึกละ มันมีคนที่ได้ยิน มีคนที่เข้าใจ มีคนที่ตีความ ตัวตนมันอยู่ตรงนี้นี่นา
มันอยู่ในส่วนที่ลึกของความปรุงแต่ง มันซ้อนอยู่ข้างหลังนี่เอง แท้จริงมันก็คือ ความปรุงแต่ง คือ ความเป็นธรรมชาติของมัน ที่เป็นของเขาเอง ที่ไม่ใช่เป็นเรา...
ด้วยความสงบกับการอยู่คนเดียว และความปล่อยวางการจะเอา จะเป็น ก็ปล่อยการรับรู้ไป ธรรมชาติก็ทำงานของเขา แสงสว่างของปัญญาก็พาให้เห็นตัวเดิมของธรรมชาติ
ส่วนนี้ก็เป็นแสงสว่างปัญญาเล็กน้อยให้เข้าใจธรรมชาติครับ ผมเลยเรียนเล่าให้หลวงตาฟังครับ
ข้อความนี้ ผมอยากเรียนหลวงตาด้วยความเคารพอย่างสูง และความระลึกถึงครับ แต่ขอไม่อยากออกสื่อครับ เพราะมันไม่มีอะไรเท่าไหร่ครับ ผมก็ไม่ได้ขยันปฏิบัติมากนัก ผมก็อายคนอื่นเขาครับ แต่ผมจะปฏิบัติตามที่หลวงตาสอนเรื่อย ๆ ครับ
ช่วงนี้ที่ร.พ. ก็เจอ case covid19 เรื่อย ๆ ครับ ใกล้ตัวเข้ามามากเลยครับ ผมก็มีโอกาสได้ตรวจผู้ป่วยหวัดอยู่ ก็ไม่รู้จะติดโรคตอนไหน ก็เจริญมรณานุสติเรื่อย ๆ ครับ กราบหลวงตาด้วยความเคารพอย่างสูงครับ
หลวงตา : ข้อความทั้งหมดที่เขียนมานี้ล้วนเป็นธรรม ดังนี้
กรณีของหมอนี่ถือได้ว่ามีบุญวาสนาบารมีมาแต่ปางก่อน คือ ถึงแม้จะมีครอบครัว แต่ก็มีความสนใจในธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ในปัจจุบันมานานแล้ว เมื่อถึงเวลา ทุกอย่างพร้อมลงตัว ทำให้หมดห่วงที่ใจ จึงเกิดธรรมะ คือ ความรู้แจ้งในธรรมอันละเอียดลึกซึ้งทั้งเหตุและผลในปัจจุบันขณะ คือ แอบมีความพยายามกระทำในใจอย่างใด ๆ แม้เพียงน้อยหนึ่ง นิดหนึ่ง ปรมาณูหนึ่งในปัจจุบันขณะ มีเราหรือตัวเรา เข้าไปมีส่วนได้ส่วนเสีย ก็จะเกิดปัญญารู้แจ้งทันทีว่า พฤติแห่งจิตที่กำลังแสดงกิริยาหรืออาการอย่างนั้น ๆ กำลังหลงสังขาร คือ หลงยึดถือให้เกิดความมีตัวตน (อวิชชา ตัณหา อุปาทาน) ในปัจจุบันขณะ จึงเกิดความปล่อยวางความหลงยึดถือออกมาจากใจเอง ซึ่งเป็นประสบการณ์ตรงอันสำคัญ เพราะพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้านั้น ต้องเกิดจากประสบการณ์ตรง เกิดปัญญาที่รู้แจ้งขึ้นที่ใจในปัจจุบันขณะ มีผลให้เกิดความปล่อยวางความหลงสังขาร อันเป็นอวิชชา ตัณหา อุปาทานในปัจจุบันขณะนั้นไปเสีย
***** ขอให้ใส่ใจ ให้ความสำคัญกับธรรมในปัจจุบันขณะอย่างนี้ เรื่อยไป แล้วจะสิ้นสงสัย ไม่ต้องถามใครอีกต่อไป
ธรรมนี้ แม้จะดูเหมือนเล็กน้อย แต่เปรียบเหมือนความรู้แจ้งที่ปลายเข็มแล้ว อาจเป็นประโยชน์แก่เวไนยสัตว์ให้เกิดปัญญา ก็ขออนุญาตโพสต์นะ !
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 11 เมษายน 2563