ผู้ถาม : น้อมกราบนมัสการองค์หลวงตาพ่อแม่ครูอาจารย์ที่เคารพสูงสุด
ไฟล์ 200328B-1 ไม่มีตัวเราไปถึงนิพพาน เสียงธรรมหลวงตามาพร้อมแสงเลเซอร์ทำให้เกิดปัญญา หายโง่ไปบ้างจากที่เคย
จะพิจารณากายต่อไปดีหรือจะพิจารณาจิตดีหรือทั้งกายทั้งจิตดี
รู้เห็นว่า แอบแฝงเพื่อตัวเราจะได้นิพพาน ซึ่งตัวเราขวางนิพพานอยู่
จึงพิจารณาหาตัวตนของเราในขันธ์ห้า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ทุกขันธ์เป็นสังขารทั้งนั้น
ล้วนเกิดดับ ไม่เที่ยง ไม่มีตัวตน
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
พิจารณากายก็ไม่มีตัวเราอยู่ในส่วนไหนเลย
พิจารณาจิต เห็นผู้รู้ รู้เท่าทัน
ผู้รู้ตัวปลอมไปเรื่อย ๆ
ก็พบใจที่บริสุทธิ์หรือธาตุรู้
พบใจ พบธรรม
ถึงใจ ถึงนิพพาน
อยู่กับรู้เรา รู้ รู้ รู้
ไม่มีเรานิพพาน
ไม่มีเราไม่นิพพาน
ก็สักแต่ว่ารู้ รู้ รู้
แต่ถ้ามีสงสัย เรานิพพาน
หรือเราไม่นิพพาน
ก็เป็นนิพพานปลอม
กราบขอคำชี้แนะจากหลวงตาด้วยเจ้าค่ะ
หลวงตา : “ผู้รู้แท้” หรือ “วิญญาณธาตุ” เป็นธาตุตามธรรมชาติ เหมือนกับธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ ธาตุอากาศ (ความว่าง) แต่ธาตุอื่นเหล่านั้นไม่มีความรู้เหมือนกับธาตุรู้
“ธาตุรู้แท้” หรือ “วิญญาณธาตุ” ว่างเปล่าจากสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา
ไม่ได้เป็นของใคร หรือ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ
ไม่ใช่เป็นของเรา ไม่ใช่เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา
***** จึงไม่ใช่เราว่างเปล่า หรือ เราถึงความว่าง
“ธาตุรู้แท้” เป็นเหมือนกับความว่างของอากาศ
แต่ความว่างของอากาศ หรือ ความว่างของอวกาศ ไม่มีความรู้
ส่วน “ธาตุรู้แท้” แม้มีคุณสมบัติเป็นเหมือนความว่างของธรรมชาติ แต่เป็นความว่างที่มีความรู้
ไม่มีตัวตนรูปลักษณ์ ไม่มีความรู้สึก นึก คิด ตรึกตรอง ปรุงแต่ง
ไม่มีการเกิดดับ ไม่มีการไป ไม่มีการมา ไม่มีการหยุดนิ่ง
ไม่ปรากฏอาการของผู้รู้ ไม่มีจุด ต่อม ที่ตั้ง ที่หมายของผู้รู้
***** เราไม่อาจเอาสังขารหรือตัวเรา ซึ่งเป็นสมมติ ไปค้นหา ธาตุรู้แท้ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ ซึ่งมีชื่อสมมติว่า “นิพพาน” ได้
เพราะธาตุรู้แท้ ไม่มีตัวตนรูปลักษณ์ ไม่มีเครื่องหมายหรือสัญลักษณ์ใด ไม่มีอะไรปรากฏให้ถูกรู้ได้ด้วยอายตนะภายใน
***** จะพบธาตุรู้แท้ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ ได้มีเพียงกรณีเดียวเท่านั้น ต้องสิ้นหลงยึดมั่นถือมั่นสังขาร หรือ ขันธ์ห้า หรือ ร่างกายและจิตใจ ว่าเป็นตัวตนคงที่ เป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
ก็จะไม่หลงมีตัวเราไปยึดถือคนอื่นหรือสิ่งอื่น (รวมทั้งสังขาร และ วิสังขาร) มาเป็นของเราด้วยความยึดมั่นถือมั่น
***** ขณะจิตใดในปัจจุบันขณะที่สิ้นหลงยึดมั่นถือมั่นทั้งสังขารและวิสังขาร ก็จะพบธาตุรู้แท้ หรือ ธาตุรู้บริสุทธิ์ หรือ นิพพานธาตุ
***** อันที่จริง ทั้งสังขาร และ วิสังขารเขาก็มีอยู่แล้ว แต่เป็นเพราะหลงสังขาร จึงหลงเอาสังขารมาคิดปรุงแต่งยึดถือสังขาร และ วิสังขาร ด้วยความหลงยึดมั่นถือมั่น ว่าเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา
***** สิ่งใดที่มีอยู่ เขาก็คงมีอยู่อย่างเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาโดยธรรมชาติธรรมดาของเขาอย่างนั้น
ถ้าไม่หลงยึดมั่นถือมั่น ก็ไม่มีกิเลส ไม่มีผู้ทุกข์ (นิพพาน)
***** สิ่งที่ไม่มีอะไรปรากฏให้ถูกรู้ได้ด้วยอายตนะ เขาก็เป็นธรรมชาติของเขาอย่างนั้น ไม่ใช่สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา ไม่มีใครเป็นเจ้าของ และ ไม่ได้เป็นของเรา
ถ้าไม่หลงยึดมั่นถือมั่น ก็ไม่มีกิเลส ไม่มีผู้ทุกข์ (นิพพาน)
***** แม้จะได้ชื่อว่าเป็นผู้ปฏิบัติธรรม แต่โดยมากจะปฏิบัติด้วยความยึดมั่นถือมั่น หลงเอาตัวเราเป็นผู้ปฏิบัติ ผู้พยายามเพื่อให้ตัวเราได้รับผลประโยชน์
ไม่ได้ “ปล่อยวาง” ให้สิ่งที่มี (สังขาร) ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ บุคคล เรา เขา ทรัพย์สิน สิ่งใด ๆ ทั้งหมด และ “วิสังขาร” คือ สิ่งที่ไม่มีอะไรปรากฏให้ถูกรับรู้ได้ ก็คงเป็นอยู่อย่างนั้น แต่เห็นว่า “สังขาร” ทั้งหมด ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ส่วน “วิสังขาร” เป็นอนัตตา ไม่หลงยึดมั่นถือมั่นมาเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นของเรา จนเป็นทุกข์
หากปล่อยวางให้สังขาร และ วิสังขาร เขาเป็นธรรมชาติอย่างที่เขาเป็น ไม่หลงยึดมั่นถือมั่น ผู้ทุกข์ก็ไม่มี เรียกว่า “นิพพาน”
ดังนั้น “นิพพาน” จึงไม่ใช่สภาวะที่ว่างเปล่า หรือ สภาวะอะไรที่คาดหมายไว้ แล้วมีตัวเราไปเอา ไปได้ ไปถึง เอามาเป็นของเรา
แต่ “นิพพาน” เพราะ ไม่ยึดมั่นถือมั่น หรือ ปล่อยวางทั้งสังขารและวิสังขาร ให้เขาเป็นธรรมชาติอย่างที่เขาเป็น
เมื่อมีความเป็นอยู่ด้วยความไม่หลงยึดมั่นถือมั่น ก็สิ้นความดิ้นรนทะยานอยาก สิ้นสงสัย สิ้นกังวล สิ้นผู้ทุกข์ (นิพพาน)
ผู้ถาม : น้อมกราบสาธุเจ้าค่ะ กราบ กราบ กราบ
ปุจฉาวิสัชนาเมื่อวันที่ 4 เมษายน 2563