ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงตาค่ะ หนูขอโอกาสส่งการบ้านสรุปความรู้ความเข้าใจจากการที่ได้ฟังธรรมะ และอ่านหนังสือของหลวงตา เมื่อใดที่สามารถ "รู้" ทุกคิด ทุกความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจได้อย่างตรงไปตรงมา โดยไม่ได้ตั้งใจจับจ้องหรือเพ่งมอง แต่รู้เห็นการเกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไปของทุกคิด ทุกอาการโดยไม่เข้าไปแทรกแซง ไม่ดิ้นรน ไม่ผลักไส ไม่อยากได้ อยากเป็น ไม่อยากเอา อยากเอา เมื่อนั้น "รู้" นั้นก็จะบริสุทธิ์ กลายเป็นรู้ที่ว่างเปล่า หรือเรียกว่า "ธาตุรู้" , "ใจ" เมื่อใดที่พบ "ใจ" เมื่อนั้นก็พบ "ธรรม" ที่สำคัญคือเมื่อพบ "ธาตุรู้" แล้วให้วาง ไม่อาจยึดหรือแบกไว้ได้อีก เพราะ "ธาตุรู้" นั้นว่างเปล่า ไม่มีตัวตน ไม่มีรูปร่าง เป็นอสรีระ เมื่อใดที่ปล่อยวางกาย ปล่อยวางจิต ปล่อยวางผู้รู้ ปล่อยวางนิพพานได้แล้ว ธาตุรู้จะแยกเป็นอิสระออกจากกายและจิต เมื่อตายไปธาตุทุกธาตุก็จะกลับไปเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ ดินกลับสู่ดิน น้ำกลับสู่น้ำ ลมกลับสู่ลม ไฟกลับสู่ไฟ ธาตุรู้ที่เป็นอิสระก็กลับคืนสู่ธรรมชาติ การพิจารณาอสุภกรรมฐาน เพื่อให้เห็นความไม่เที่ยงของกาย และขณะเดียวกันที่พิจารณาก็จะเห็นความคิดแทรกเข้ามาเป็นระยะๆ ให้รู้และปล่อยวางความคิดที่เกิดขึ้น กลับมาตั้งมั่นอยู่กับการพิจารณาอสุภะต่อไป ผลของการพิจารณานี้ก็ทำให้จิตเรียนรู้ว่าความคิดเหล่านั้นก็ไม่ใช่ของที่เที่ยง ไม่อาจยึดถือใดๆ ได้ สุดท้ายเมื่อพิจารณาไปจะสามารถปลงปล่อยวางได้ทั้งกายและจิต กราบขอบพระคุณเจ้าค่ะ ขอหลวงตาพิจารณาค่ะ ผิดถูกประการใดขอความเมตตาหลวงตาช่วยชี้แนะด้วยค่ะ
หลวงตา : ถ้าถึงใจตามที่เข้าใจนี้ก็พ้นทุกข์ นิพพาน
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 29 เมษายน 2560