ผู้ถาม : เมื่อจิตตั้งมั่นขึ้นมาเป็นผู้รู้ผู้ดูอย่างแท้จริง ขณะนั้นจิตจะไม่ไหลไปตามอารมณ์ที่ถูกรู้ นั่นคือ เมื่อมีการกระทบ (ผัสสะ) เกิดขึ้นทางตา หู จมูก ลิ้น กาย และทางใจ จิตจะรู้อารมณ์ที่เกิดขึ้นแล้วไม่ไปเสวยอารมณ์นั้น ขณะนั้นไม่ว่าอารมณ์จะเกิดมาทางตา ทางหู ทางจมูก ทางลิ้น หรือทางกาย ทั้งหมดจะต้องส่งตรงมาถึงใจ อันนี้เป็นธรรมชาติการทำงานของขันธ์ห้า ฉะนั้นเมื่อเราตั้งสติไว้ที่ประตูใจโดยไม่ต้องไปตามรักษาที่ทางประตูอื่นอีก 5 ประตู (ประตูตา ประตูหู ประตูจมูก ประตูลิ้น ประตูกาย) เพียงแค่ตั้งสติรักษาจิตไว้ที่ใจก็ ถือว่ารักษาได้ครบทุกประตู เมื่อสติตั้งอยู่ที่ใจ รู้อยู่ที่ใจ ก็จะสังเกตเห็นได้ว่า จิตที่เข้าไปรับรู้อารมณ์ต่าง ๆ แล้วปรุงแต่งโดยทำงานร่วมกับเวทนา สัญญา สังขารนั้น แสดงออกมาเป็นการคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่ง มีกริยาอาการใดเกิดขึ้นตลอดเวลา เมื่อจิตและเจตสิกทำงานแล้วก็ดับไปเกิดเป็นจิตดวงใหม่ และเจตสิกตัวใหม่สืบต่อเนื่องกันอย่างเร็วมาก เป็นเพียงปรากฏการณ์ตามธรรมชาติของขันธ์ห้า ไม่มีสิ่งใดที่น่าหลงเข้าไปยึดถือ ถึงแม้ดูเหมือนว่าจิตจะรู้แล้วพูดกับตัวเองอยู่ข้างในตลอดเวลาก็ให้ปล่อยวาง หลายคนสงสัยว่า จิตเห็นจิตคือจิตมันเห็นตัวเองหรือ จริง ๆ จิตเห็นจิตคือมรรคนั้น จิตเห็นจิตก็คือ จิตที่เป็นผู้รู้หรือใจนั่นแหละ (บางทีเรียกธาตุรู้) เป็นผู้เห็นว่าจิต (วิญญาณขันธ์) เมื่อรู้แล้วปรุงแต่งว่าอย่างไร พูดง่าย ๆ ก็คือ ใจที่ไม่ปรุงแต่งซึ่งไม่เกิดดับ มาเห็นจิตที่ปรุงแต่งที่เกิด ๆ ดับ ๆ นี้ โดยต่างคนต่างอยู่ไม่ยุ่งเกี่ยวกัน เป็นเพียงธรรมชาติทั้งคู่ คือ จิตที่ปรุงแต่งได้เมื่อรับรู้ก็ทำงานร่วมกับเวทนา สัญญา สังขาร เกิดความคิด นึก ตรึก ตรอง ปรุงแต่ง ส่วนใจที่เป็นผู้รู้ที่ไม่ปรุงแต่งก็จะรู้เห็นว่ามีจิต (รวมเจตสิก) ปรุงแต่งเกิด ๆ ดับ ๆ อยู่ เมื่อเกิดปัญญาอย่างแท้จริงจะเห็นว่าทุกสิ่งเป็นเพียงธรรมชาติไม่มีสัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่ในนั้น คือธรรมชาติที่ปรุงแต่งได้ก็แสดงอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ต่อหน้าต่อตา ส่วนธรรมชาติที่ไม่ปรุงแต่งนั้นไม่ปรากฏให้เห็นได้ แต่รับรู้ได้ว่ามีอยู่ เพราะมี “รู้" เหมือนเวลาที่เราแอบไปทำอะไรในที่ลับไม่มีใครเห็น แต่ถ้าถามว่าคนอื่นไม่มีใครรู้ แล้วใครหละที่รู้ว่าแอบทำอะไร เราก็จะตอบว่าก็ตัวเราเองนั่นแหละที่รู้ได้ว่าตัวเราแอบทำอะไร "รู้" ตัวนั้นนั่นแหละ “รู้" ที่มาเห็นขันธ์ห้าทำงานนั่นแหละ และเมื่อสติ สมาธิ ปัญญาแก่กล้าขึ้นก็จะพบความจริงของ “รู้" ตัวนี้ ตัวที่ทำให้มีความรู้สึกว่าไม่เกิดไม่ดับนั่นแหละ แต่ในขั้นนี้เราจะสามารถจิตเห็นจิตอยู่ตลอดเวลาได้ ก็ด้วยวิธีที่ว่าต้องตั้งสติไว้ที่ใจ พ่อแม่ครูอาจารย์จึงเพียรบอกให้ทุกคนมีสติตั้งที่ใจ ดังเช่นคำสอนของหลวงปู่ทา จารุธัมโม ที่ว่า
สติตั้งที่ใจ ดูอยู่ที่ใจ มองอยู่ที่ใจ
เห็นอยู่ที่ใจ เพ่งอยู่ที่ใจ กำหนดอยู่ที่ใจ
สติตั้งที่ใจ ดูอยู่ที่ใจ กำหนดอยู่ที่ใจ พิจารณาอยู่ที่ใจ
อิริยาบท 4 ยืน เดิน นั่ง นอน สติอันเดียวก็ไม่หลาย.........
ตอนนี้หนูสังเกตเห็นว่า “ใจ" นั่นแหละคือตัวอวิชชา เพราะมันเป็นจุดศูนย์รวมของทุกอย่าง ทุกสิ่งกระจายออกมาจากจุดนี้ และที่สังเกตได้อีกอย่าง คือ มัน "ยึด" ความรู้เจ้าค่ะ ไม่ได้ยึดว่างหรือไม่ว่าง ตอนนี้ไม่ว่าจะมีเสียงปรุงแต่งยุกยิกข้างในก็ไม่ไปสนใจ บางครั้งยังหลงเชื่อตามไป แต่บางครั้งรู้โดยไม่รู้ความหมายของเสียง เป็นเพียงรู้ที่กลืน ๆ แต่มียุกยิกที่ไม่มีความหมาย และมีธรรมขึ้นมาว่า "ทำไมต้องรู้อะไรมากมายเพื่อเข้าถึงความไม่ต้องรู้อะไร " ขณะนั้นทุกสิ่งที่ปรากฏไม่มีความหมายเจ้าค่ะ
หลวงตา : สาธุ
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2560