ผู้ถาม : กราบนมัสการเจ้าค่ะ จากที่ได้อ่านข้อความนี้ ... (หลวงตา : มานะ ทิฏฐิ คือ การยึดถือความเห็นของตนเป็นใหญ่ตามที่อ่านมาหรือฟังมามาก แล้วเอามาคิดปรุงแต่งขวางธรรมที่ไม่ปรุงแต่ง ไม่เกิดไม่ดับไว้ ถ้าพ้นจากคิด หรือพ้นจากสังขาร ไม่หลงสังขาร หรือไม่หลงเอาตัวเราไปเป็นสังขาร ก็จะเป็นธรรมที่มั่นคง)
ลูกได้ยินแต่คนอื่นมาบอกว่าลูกเป็นคนติดคำสรรเสริญเยินยอ ... ติดดี ... แต่ไม่เห็นว่าตัวเองเป็นแบบนั้น มาชัดแก่ใจตอนเข้าคอร์สหลวงตาเจ้าค่ะ แต่พอมาเข้าคอร์สหลวงตา กลับเห็นมันขึ้นมาเยอะมาก ๆ ที่โผล่มา ว่าฉันเก่ง ฉันทำได้ เธอไม่เก่ง ฉันรู้แล้ว ต่าง ๆ นานา ที่โผล่มาโจ้ง ๆ โผล่มาแอบ ๆ แต่ช่วงที่โผล่ขึ้นมา ครั้งแรกที่ชัดในคอร์ส หลังจากที่หลวงตาเมตตาจ้ำจี้จ้ำไช สอนให้ทุกคนเข้าใจถึงใจก่อนจบคอร์สเจ้าค่ะ
ขณะคุยกับพี่ในคอร์ส เห็นตัวดีใจที่คนชื่นชม มันโผล่ขึ้นมากลางพื้นที่ว่าง ๆ และโผล่มาตัวฉันเก่ง (สังขาร) ฉันทำได้ แต่รู้สึกมีผลมันไปยึด ลูกเลยใช้วิธีที่หลวงตาเมตตาสอนว่า ... ต้องสอนจิตเหมือนสอนลูกหมาลูกแมว บางครั้งก็ต้องแรง ๆ ลูกเลยใช้คำว่า ถ้ายึด ... มึงทำกูฉิบหายวายวอดมาหลายชาติหลายกัลป์แล้วนะเพราะไปยึดมึงนะ! ... ตอนเห็น ... ฉันเก่ง ... ฉันรู้ ... ลองคำอื่นแล้วมันเบาไปเจ้าค่ะ ลูกเพิ่งเคยรู้ว่าต้องใช้คำสอนแรง ๆ กับจิตที่มันยึดแรง ๆ เป็นครั้งแรก เข้าใจตลอดว่าแค่รู้คิด ก็ได้แล้วเจ้าค่ะ ... คำสอนแรง ๆ นี้คือ ขันธ์ห้า (สติ ) ที่ใช้ควบคุมรึเปล่าเจ้าคะ ต้องใช้คำสอนแรง ๆ แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนความยึดมั่นตัวนี้จะเบาบางลง ไม่มีผลกับใจเมื่อกระทบ ใช่ไหมเจ้าคะ ขอความเมตตา หลวงตาชี้แนะด้วยเจ้าค่ะ ... ขอนอบน้อมกราบหลวงตาเจ้าค่ะ
หลวงตา : ต้องสอนตนเองไปจนกระทั่งปล่อยวางสังขารที่ละเอียดสูงสุดได้คือ ความคิดปรุงแต่งอยู่ภายใน จนไม่หลงเอาความคิด ความปรุงแต่งมาเป็นเรา เป็นตัวเรา เป็นตัวตนของเรา และไม่หลงยึดถือผิด ๆ ว่ามีตัวตนของเรา แล้วเอาตัวเราไปคิด ไปปรุงแต่ง ซึ่งความจะหลงยึดถือว่ามีเรา มีตัวเรา หรือมีตัวตนของเรา ก็เพราะหลงไปเป็นสังขารปรุงแต่ง จึงสามารถปรุงแต่งยึดถือสิ่งใดได้ ต้องมีสติปัญญากัดติดจดจ่อให้เห็นความหลงไปเป็นสังขาร คือหลงคิด หลงปรุงแต่งทั้งภายนอกและภายใน หรือหลงคิด หลงปรุงแต่งว่าเราอย่างนั้น เราอย่างนี้ เราอยากให้เป็นอย่างนั้น เราอยากให้เป็นอย่างนี้ เราไม่อยากให้เป็นอย่างนั้น เราไม่อยากให้เป็นอย่างนี้ เรา ... ความคิด ความปรุงแต่งว่าเป็นเรา หรือเป็นตัวเรา หรือเป็นของเราทุกขณะจิตปัจจุบันอย่างนี้ เป็นความหลงคิด หลงปรุงแต่ง เรียกว่าหลงสังขาร
จึงต้องมีสติปัญญารู้เท่าทันทุกขณะจิตที่หลงสังขารในปัจจุบัน แล้วเพียรดุ ด่า ว่าสอนตัวเองอยู่ตลอดเวลา จนกว่าจิตจะสิ้นหลง หรือสิ้นอวิชชา เมื่อจิตเขาเป็นวิชชาเสียแล้ว ก็จะเลิกบอกสอนเอง เหมือนสอนหมาแมว เมื่อมันฉลาด ทำได้อย่างที่สอนแล้ว เจ้าของก็จะรู้เองแล้วเลิกดุด่าเขาอีกต่อไป
ปุจฉาวิสัชนาธรรมเมื่อวันที่ 28 พฤษภาคม 2560